Think In Truth

ZOMIAหรือSIAMกันแน่! ดินแดนแห่งขุนเขาอุษาคะเนย์EP2  โดย: ฟอนต์ สีดำ



ใน EP.1 ผู้เขียนได้เขียนถึงที่มาของเอชียอาคะเนย์ถูกเรียกว่า ZOIMIA ซึ่งมีกลุ่มนักวิชาการตะวันตกเป็นผู้พยายามที่จะใช้ชื่อ ZOMIA แทนพื้นที่เอเชียอาคะเนย์ โดยอ้างถึงการค้นพบชนเผ่าเล็กๆ แล้วอ้างถึงวิถีแห่งวิถีที่คนในพื้นที่ไม่รู้จักมากำหนดเป็นชื่อพื้นที่เอเชียอาคะเนย์ว่า ZOMIA ซึ่งในขณะที่อริยะธรรมสยามนั้นมีการขยายพื้นที่ของอิทธิพลทางทางอริยธรรมกว้างขวางออกไป โดยมีการขยายอริยธรรมของกลุ่มความเชื่อในศาสนาผีหรือเสียมกุก หรือสยามโคก เป็นอริยธรรมสยามที่ราบสูง ตามลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งมีอิทธิพลกระจายออกไปถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ลุ่มแม่น้ำอิรวดี กระจายออกไปจระชายฝั่งทะเลจะวันออก และกลุ่มอริยธรรมขอม ในพื้นที่เสียมเรียบ หรือสยามลุ่ม ซึ่งมันก็น่าแปลกตรงที่ว่ากลุ่มนักวิชาการตะวันตกเหล่านั้นกลั[ให้ความสำคัญต่ำมาก ซึ่งจะเอ่ยถึงเพียงวัฒนธรรมไทกระได ซึ่งมีก็ไม่ได้สื่อถึงความจริงแห่งอริยธรรมของพื้นที่เสียเลย เพราะไทกระได คำนี้ถูกเรียนกันตั้งแต่เมื่อได ด้วยเหตุผลได้ก็ไม่ทราบได้

ใน EP.2 นี่ผู้เขียนก็จะเอาแนวคิดของนักวิชาการที่พยายามอธิบายให้ลงลึกถึงสภาพสังคมของชาติพันธุ์ในพื้นที่ที่เขาเรียกว่า ZOMIA นี้ ซึ่งข้อมูลมันเหมือนไม่ได้เช็คข้อมูลย้อนหลังจากคนในพื้นที่ว่า เขาจะเห็นด้วยกับการกำหนดขึ้นมาโดยไม่ให้ความสำคัญถึงอริยธรรมหลักของคนในพื้นที่เอเชียอาคะเนย์เลยโดยแนวคิดของกลุ่มนักวิชาการตะวันตกได้ให้ความเห็นไว้ดังนี้

เพื่อให้มีคุณสมบัติเฉพาะของเทือกเขานี้มากขึ้น สามารถรวมปัจจัยหลักต่างๆ เข้าด้วยกัน ได้แก่ ประวัติศาสตร์ ภาษา ศาสนา โครงสร้างทางสังคมตามจารีตประเพณี เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ทางการเมืองกับรัฐที่ราบลุ่ม สิ่งที่ทำให้สังคมบนพื้นที่สูงแตกต่างออกไปอาจเกินกว่าสิ่งที่สังคมมีเหมือนกัน เช่น ระบบนิเวศอันกว้างใหญ่ ภาวะชายขอบ และรูปแบบการอยู่ใต้บังคับบัญชา เทือกเขานี้ถูกข้ามโดยตระกูลภาษาหลักหกตระกูล ( ออสโตรเอเชียติกม้ง-เมี่ยนครา -ไดชิโน - ทิเบตอินโด-ยูโรเปียนออสโตรนีเซียน) ไม่มีภาษาใดที่ถือเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่เด็ดขาด ในแง่ศาสนา หลายกลุ่มนับถือผีกลุ่มอื่นๆ เป็นชาวพุทธบางกลุ่มเป็นคริสเตียนจำนวนมากมี ค่านิยมแบบเต๋าและขงจื๊อกลุ่มฮุยเป็นมุสลิม ในขณะที่สังคมส่วนใหญ่มีความผสมผสานที่ซับซ้อนตลอดประวัติศาสตร์ ความระหองระแหงและการสู้รบบ่อยครั้งระหว่างกลุ่มท้องถิ่นเป็นหลักฐานที่แสดงถึงวัฒนธรรมส่วนใหญ่ภูมิภาคนี้ไม่เคยเป็นเอกภาพทางการเมือง ไม่ใช่ในฐานะจักรวรรดิ หรือเป็นพื้นที่ที่ใช้ร่วมกันระหว่างอาณาจักรก๊กไม่กี่แห่ง แม้แต่เป็นเขตที่มีระบบการเมืองที่ประสานกัน รูปแบบขององค์กรการเมืองตามจารีตประเพณีที่แตกต่างกัน โดยส่วนใหญ่เป็นเชื้อสายที่มีพื้นฐานมาจาก " ศักดินา" มีมานานแล้ว ในระดับชาติทุกวันนี้ ระบอบการเมืองในประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน (ประชาธิปไตย รัฐบาลสังคมนิยมสามแห่ง ระบอบกษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญหนึ่งแห่ง และเผด็จการทหารหนึ่งแห่ง) เพียงแค่ขยายความหลากหลายทางการเมืองในสมัยโบราณนี้ นี่เป็นข้อสรุปที่หลักลอยโดยขาดการศึกษาข้อมูลเชิงเครือญาติ วัฒนธรรมที่มีความเชื่อมโยงความเชื่อ ความสัมพันธ์ในการไปมาหาสู่เพื่อแลกเปลี่ยนทางการค้า และอิทธิพลเชิงการปกครอง

เช่นเดียวกับที่ราบสูงข้ามชาติอื่นๆ ทั่วเทือกเขาหิมาลัยและทั่วโลก เทือกเขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีพื้นที่ชายขอบและกระจัดกระจายในแง่ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ดังนั้นจึงอาจถูกมองว่าขาดความสำคัญที่จำเป็นในโครงการขนาดใหญ่ของสิ่งต่าง ๆ ที่จะเสนอให้เป็นการแบ่งเขตพื้นที่ที่น่ามีแนวโน้มของเอเชียศึกษา อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องคิดใหม่เกี่ยวกับการวิจัยตามประเทศเมื่อกล่าวถึงสังคมข้ามพรมแดนและสังคมชายขอบ ซึ่งเป็นข้อสรุปที่ง่ายเกินไปที่จะสรุปถึงชาติพันธุ์ที่อาศัยในดินแดนแถบเอเชียอาคะเนย์ขาดซึ่งรากเหง้าที่แข็งแรง

การสอบถามภาคพื้นดินทั่วทั้งเทือกเขาแสดงให้เห็นว่าประชาชนเหล่านี้มีความรู้สึกแตกต่างไปจากเสียงข้างมากของประเทศ ความรู้สึกของความห่างไกลทางภูมิศาสตร์ และสถานะของความเป็นคนชายขอบที่เชื่อมโยงกับระยะห่างทางการเมืองและเศรษฐกิจจากที่นั่งที่มีอำนาจในภูมิภาค ในแง่วัฒนธรรม สังคมบนพื้นที่สูงเหล่านี้เปรียบเสมือนโมเสกวัฒนธรรมที่มีสีตัดกัน แทนที่จะเป็นภาพที่ผสมผสานกันในเฉดสีที่กลมกลืนกัน สิ่งที่เทอร์รี แรมโบ้พูดจากมุมมองของเวียดนาม ขนานนามว่าเป็น "ฝันร้ายที่ทำให้เคลิบเคลิ้ม" แต่เมื่อสังเกตจากระยะห่างที่จำเป็น โมเสกนั้นก็สามารถสร้างภาพที่โดดเด่นและสำคัญได้ แม้ว่าบางครั้งจะไม่ชัดเจนก็ตาม ชึ่งเป็นความไม่เข้าใจต่อความหลากหลายของการอยู่ร่วมกันของชาติพันธุ์ในดินแดนเอเชียอาคะเนย์

ในอดีต พื้นที่สูงเหล่านี้ถูกใช้โดยอาณาจักรที่ราบลุ่มเพื่อเป็นแหล่งทรัพยากรสำรอง (รวมถึงทาสด้วย) และเป็นพื้นที่กันชนระหว่างโดเมน ซึ่งนี่คือมุมมองของการเหยียดเชื้อชาตอของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยบนที่สูงที่ไม่เข้าใจถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ

Zomiaเป็นศัพท์ทางภูมิศาสตร์ที่บัญญัติขึ้นในปี พ.ศ. 2545 โดยนักประวัติศาสตร์Willem van Schendelแห่งมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม เพื่อหมายถึงมวลมหาศาลของแผ่นดินใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งในอดีตอยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาลที่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางประชากรของที่ราบลุ่มส่วนใหญ่ซ้อนทับกับขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของเทือกเขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าขอบเขตที่แน่นอนของโซเมียจะแตกต่างกันไปในหมู่นักวิชาการ: ทั้งหมดจะรวมถึงที่ราบสูงทางตอนเหนือของ อินโดจีน ( เวียดนามเหนือและลาวทั้งหมด ), ประเทศไทย , เนินเขาฉานทางตอนเหนือของพม่าและเทือกเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน บางแห่งขยายพื้นที่ออกไปทางตะวันตกจนถึงทิเบตอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือปากีสถานและอัฟกานิสถาน พื้นที่เหล่านี้มีภูมิประเทศที่ขรุขระและสูงเหมือนกันและเป็นบ้านของชนกลุ่มน้อยที่อนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นของตนโดยอยู่ห่างไกลจากการควบคุมและอิทธิพลของรัฐ นักวิชาการคนอื่นๆ ใช้คำนี้เพื่อหารือถึงแนวทางที่คล้ายกันที่รัฐบาลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จัดการกับชนกลุ่มน้อย เป็นมุมองของความไม่เข้าใจต่ออำนาจการปกครองของโครงสร้างทางการปกครองของวัฒนธรรมการเมืองการปกครอง ซึ่งแตกต่างไปจากตะวันตก ที่แต่ละเมืองจะเป็นเสรีในการปกครองและการอยู่ร่วมกัน ตามวัฒนธรรมของท้องถิ่นโดยไม่ขึ้นกับวัฒนธรรมของอำนาจกลาง

โซเมียครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 2,500,000 ตารางกิโลเมตร (970,000 ตารางไมล์) เหนือเทือกเขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประกอบด้วยคนชายขอบเกือบหนึ่งร้อยล้านคน พื้นที่ขนาดใหญ่นี้อยู่ภายในชายขอบของแปดรัฐและทั้งหมดของรัฐเดียว ทอดยาวไปทั่วการกำหนดภูมิภาคมาตรฐาน (เอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) นอกเหนือจากความหลากหลายทางนิเวศวิทยาและความสัมพันธ์กับรัฐต่างๆ ยังกระตุ้นความสนใจอย่างมาก หมายถึงหน่วยงานดั้งเดิมของการศึกษา ประเภทของชื่อสากล และวิธีการศึกษาภูมิภาคที่แตกต่างออกไป นี่เป็นความพยายามยัดเยียดให้โลกยอมรับว่า พื้นที่ที่นักวิชาการตะวันขีดเส้นไว้นั้น ต้องเรียกว่า ZOMIA โดยไม่สนใจว่าคนในพื้นที่จะเรียกอะไร แต่ก็จะยัดเยียดให้ชื่อที่ถูกกำหนดขึ้นมานั้นเป็นชื่อสากล เพียงเพื่ออนาคต ชื่อจักรวรรดิ์สยาม จะต้องหายไปจากพื้นที่ที่เขากำหนด

ในปี .ศ. 2552 นักรัฐศาสตร์ เจมส์ สก็อตต์แย้งว่ามีความสามัคคีทั่วทั้งเทือกเขา ซึ่งเขาเรียกว่าโซเมีย เกี่ยวกับรูปแบบทางการเมืองของการครอบงำและการอยู่ใต้บังคับบัญชา ซึ่งเชื่อมโยงชะตากรรมของประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นั่น ซึ่งแทบทุกคนได้ลี้ภัยไปแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการบูรณาการเข้ากับรัฐที่มีอำนาจมากขึ้น หรือแม้แต่ปล่อยให้มีโครงสร้างที่เหมือนรัฐปรากฏอยู่ในสังคมของตนเอง นั่นคือคำว่า “การเมืองของการครอบงำและการอยู่ใต้บังคับบัญชา” เป็นการเอ่ยถึงประเทศล่าอาณานิคม คืออังกฤษ กับฝรั่งเศส ที่เข้ายึดครองพื้นที่ต่างๆ โดยยังไม่สามารถยึดครองสยามได้ แต่การเหมารวมอย่างนี้นั้น หมายถึงรวมทั้งสยามด้วยที่อยู่ภายใต้การครอบงำและการปกครองของประเทศอังกฤษ และฝรั่งเศส

นิรุกติศาสตร์

ชื่อนี้มาจากภาษาโซมีซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกชาวเขา ซึ่งพบได้ทั่วไปในภาษาทิเบต-พม่าหลายภาษาที่พูดกัน ในพื้นที่ชายแดนอินเดีย-บังกลาเทศ- พม่า แล้วคนในพื้นที่เคยรู้ว่าภาษาโซมีเป็นอย่างไร เพราะพื้นที่เอเชียอาคะเนย์ใช้ภาษาไท ลาว ส่วนใหญ่

เจมส์ ซี. สก็อตต์

ศาสตราจารย์เจมส์ ซี. สก็อตต์แห่งมหาวิทยาลัยเยลใช้แนวคิดเรื่องโซเมียในหนังสือของเขาเรื่องThe Art of Not Being Governed: An Anarchist History of Upland Southeast Asia ปี 2009(พ.ศ.2552) เพื่อโต้แย้งว่าความต่อเนื่องของวัฒนธรรมชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ที่นั่นทำให้เกิดการเล่าเรื่องที่ขัดแย้งกับวัฒนธรรมดั้งเดิม เรื่องราวเกี่ยวกับความทันสมัยกล่าวคือ เมื่อผู้คนได้สัมผัสกับความสะดวกสบายของเทคโนโลยีสมัยใหม่และสภาวะสมัยใหม่ พวกเขาจะหลอมรวมเข้าด้วยกัน แต่ชนเผ่าใน Zomia เป็นผู้ลี้ภัยจากการปกครองของรัฐและเศรษฐกิจที่มีรัฐเป็นศูนย์กลาง จากคำนำของเขา:

มองจากอาณาจักรหุบเขาว่าเป็น 'บรรพบุรุษที่มีชีวิตของเรา' 'สิ่งที่เราเคยเป็นก่อนที่จะค้นพบการเพาะปลูกข้าวเปียก(คำนี้น่าจะเป็น “ข้าวเปลือก”)พุทธศาสนาและอารยธรรม'  เข้าใจดีที่สุดว่าเป็นชุมชนผู้ลี้ภัย ผู้ลี้ภัย สีน้ำตาลแดงที่ ตลอดระยะเวลาสองพันปี เขาได้หลบหนีการกดขี่ของโครงการที่สร้างโดยรัฐในหุบเขาต่างๆ — การเป็นทาส การเกณฑ์ทหาร ภาษีแรงงานคอร์เว โรคระบาด และการสงคราม

นี่เป็นการแสดงออกถึงการยอมรับที่มีต่อชื่อดินแดนเอเชียอาคะเนย์ว่า ชื่อดินแดน ZOMIA พร้อมทั้งเอ่ยถึงเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ที่มีกลุ่มชนอพยบเข้ามาอาศัยอยู่ ประหนึ่งว่าทั้งอังกฤษ และ ฝรั่งเศส เข้ามายึดครองโดยชอบธรรม เพราะเป็นพื้นที่ว่างเปล่า และผู้ที่เข้ามายึดครอง เป็นผู้สร้างอริยธรรมในดินแดนที่ตนยึดครอง และเขียนประวัติศาสตร์ที่บิดเบือนไปจากประวัติศาสตร์ของท้องถิ่น โดยเฉพาะประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา

Scott กล่าวต่อไปว่า Zomia เป็นพื้นที่ที่เหลืออยู่ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งประชากรยังไม่ถูกรัฐชาติกลืนกินจนหมด แม้ว่าเวลานั้นกำลังจะสิ้นสุดลงก็ตาม แม้ว่าโซเมียจะมีความหลากหลายทางภาษาเป็นพิเศษ แต่ภาษาที่พูดบนเนินเขาก็แตกต่างจากภาษาที่พูดในที่ราบ โครงสร้างทางเครือญาติอย่างน้อยก็อย่างเป็นทางการยังแยกความแตกต่างระหว่างเนินเขากับที่ราบลุ่ม สังคมชาวเขาก่อให้เกิด "ส่วนเกิน" แต่พวกเขาไม่ได้ใช้ส่วนเกินนั้นเพื่อสนับสนุนกษัตริย์และพระภิกษุ ฐานะและความมั่งคั่งมีมากมายในภูเขาเช่นเดียวกับในหุบเขา ความแตกต่างก็คือในหุบเขาพวกมันมีแนวโน้มที่จะทนทาน ในขณะที่บนเนินเขาพวกมันทั้งไม่มั่นคงและถูกจำกัดทางภูมิศาสตร์ นี่เป็นบทสรุปที่สนับสนุนถึงการมองพื้นที่ ZOMIA ที่เขาตั้งขึ้น เพียงเพื่อความชอบธรรมในการยึดครองเท่านั้น

มุมมองที่แตกต่าง

Jean Michaud อธิบายปัญหามากมายที่เกิดขึ้นจากภาษาที่ใช้ในการกล่าวถึงกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ใน Zomia ในพจนานุกรมประวัติศาสตร์ของประชาชนในเทือกเขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ผู้คนของ Zomia มักถูกเรียกว่า "ชนกลุ่มน้อยในระดับชาติ" และ Michaud ให้เหตุผลว่าความขัดแย้งเกิดขึ้นกับคำเหล่านี้แต่ละคำ ในส่วนของคำว่า " ชาติ " มิโชด์อ้างว่าประชาชนในเทือกเขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แท้จริงแล้วเป็นบุคคลข้ามชาติ เนื่องจากกลุ่มต่างๆ จำนวนมากแผ่กระจายไปทั่วหลายประเทศ ตามคำกล่าวของ Michaud " ชนกลุ่มน้อย " ก็ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการติดป้ายชื่อกลุ่มเช่นกัน เนื่องจากประชากรมีจำนวนมหาศาล Michaud ยังอ้างว่าคำว่า "กลุ่ม" เป็นปัญหาเนื่องจากมีความหมายแฝงกับชุมชนและ "การทำงานร่วมกันทางสังคม" ซึ่งไม่ใช่ทุกกลุ่มจะมีร่วมกัน เป็นข้อสรุปที่ยืนยันได้ว่า นักวิชาการตะวันตก ไม่เข้าใจถึงการอยู่ร่วมกันอย่างหลากหลาย พยายามเอากรอบทางการเมืองการปกครองตะวันตกมาเป็นกรอบเพื่อการศึกษาและสรุปความเท่านั้น

ในปี 2010(พ.ศ.2553) วารสารประวัติศาสตร์โลกได้ตีพิมพ์ฉบับพิเศษ "Zomia and Beyond" ในฉบับนี้ นักประวัติศาสตร์ร่วมสมัยและนักวิทยาศาสตร์สังคมแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตอบสนองต่อข้อโต้แย้งของสก็อตต์ ตัวอย่างเช่น แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้วิกเตอร์ ลีเบอร์แมน เห็นพ้องกันว่าชาวบนพื้นที่สูงสร้างโลกสังคมของตนเองเพื่อตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทางการเมืองและธรรมชาติที่พวกเขาเผชิญ เขายังพบว่าเอกสารของสก็อตต์อ่อนแอมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดภาษาพม่า แหล่งข้อมูลทางภาษากล่าวว่าสิ่งนี้ไม่เพียงบ่อนทำลายข้อโต้แย้งที่สำคัญหลายประการของสก็อตต์เท่านั้น แต่ยังนำทฤษฎีอื่น ๆ ของเขาเกี่ยวกับโซเมียมาสู่คำถามอีกด้วย ถึงแม้จะดูแม้นเป็นเวทีของการถกเถียงทางวิชาการอย่างเสรี แต่ก็ยังคงอยู่บนชื่อของพื้นที่อิทธิพลจักรวรรดิ์สยามที่เขาพยายามเรียกด้วยคำว่า ZOMIA เพื่อให้โลกลืมคำว่า SIAM ไปจากดินแดนที่เขากำหนดนั้น

นอกจากนี้ ลีเบอร์แมนยังแย้งว่าสกอตต์ประเมินความสำคัญของกำลังคนมากเกินไปในฐานะปัจจัยกำหนดความสำเร็จทางทหาร ในขณะที่ข้อโต้แย้งส่วนใหญ่ของสก็อตต์ขึ้นอยู่กับความพยายามของรัฐในพื้นที่ลุ่มในการครอบครองที่ราบสูง ลีเบอร์แมนก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการค้าทางทะเลในฐานะที่เป็นปัจจัยที่มีส่วนร่วมเท่าเทียมกัน

ลีเบอร์แมนยังกล่าวด้วยว่าจำเป็นต้องพิจารณาตัวอย่างที่ไม่รวมอยู่ในการวิเคราะห์ของสก็อตต์ด้วย สก็อตต์เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าวัฒนธรรมดังกล่าวก่อตัวเป็นกลไกในการป้องกัน เป็นการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทางการเมืองและสังคมโดยรอบ อย่างไรก็ตาม ลีเบอร์แมนให้เหตุผลว่าผู้คนบนที่สูงของเกาะบอร์เนียว/กาลิมันตันมีลักษณะทางวัฒนธรรมแทบจะเหมือนกับชาวโซเมียน เช่น การแพร่หลายของภาษาท้องถิ่น และการเพาะปลูกแบบหมุนเวียนซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับการพัฒนาโดยไม่มีรัฐนักล่าในพื้นที่ลุ่ม นี่ก็เป็นละครบนเวทีทางวิชาการที่ได้ฝังชื่อ ZOMIA เป็นพื้นที่ทางวิชาการไปแล้ว จะถกเถียงไปในมุมก็ได้ เพราะยังไงก็เรียกชื่อนี้เป็น ZOMIA ถ้าจะดูเวทีละครวิชาการก็จะมีเพียงนักวิชาการตะวันตกเท่านั้นที่ออกมาแสดง เพื่อฝั่งชื่อ ZOMIA ให้ลึกลงไปในความเป็นวิชาการทางประวัติศาสตร์ของโลก

เมื่อเร็วๆ นี้ คำกล่าวอ้างของสก็อตต์ถูกสอบสวนโดยทอม บราสส์  บราสยืนยันว่าการระบุลักษณะพื้นที่สูงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็น "พื้นที่หลบภัย/โรงพยาบาล" ที่ "น่ารังเกียจ" ซึ่งผู้คนอพยพไปโดยสมัครใจนั้นไม่ถูกต้อง เขาให้เหตุผลว่านี่คืออุดมคติที่สอดคล้องกับลัทธิหลังสมัยใหม่แบบประชานิยม "ใหม่" แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางชาติพันธุ์ อย่างหลังชี้ให้เห็นว่าประชากรไม่ได้เลือกที่จะอพยพไปยังพื้นที่สูง (แต่ไปเพราะพวกเขาถูกบังคับให้ออกจากพื้นที่ในหุบเขา) หรือเมื่ออยู่ที่นั่นแล้ว พวกเขาก็จะอยู่นอกเหนือขอบเขตของรัฐที่ราบลุ่ม ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมีอำนาจและปลอดภัยในบริบทดังกล่าว ซึ่งข้อแย้งหรือข้อสรุปก็ยังคงย้ำอยู่กับคำว่า ZOMIA โดยเปรียบเทียบการเมืองการปกครองที่มองถึงความไม่เหมือน ไม่คล้ายการกับเมืองการปกครองของตะวันตก

Edward Stringhamและ Caleb J. Miles วิเคราะห์หลักฐานทางประวัติศาสตร์และมานุษยวิทยาจากสังคมต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสรุปว่าพวกเขาหลีกเลี่ยงรัฐมาเป็นเวลาหลายพันปี สตริงแฮมวิเคราะห์เพิ่มเติมเกี่ยวกับสถาบันต่างๆ ที่ใช้เพื่อหลีกเลี่ยง ขับไล่ และป้องกันไม่ให้เกิดสภาวะที่จะเกิดขึ้น เขาสรุปเพิ่มเติมว่าสังคมไร้สัญชาติอย่าง "โซเมีย" ประสบความสำเร็จในการขับไล่รัฐต่างๆ โดยใช้สถานที่ วิธีการผลิตที่เฉพาะเจาะจง และการต่อต้านทางวัฒนธรรมต่อรัฐ นี่เป็นความสำเร็จในการยัดเยียดชื่อ ZOMIA แทนดินแดนอิทธิพลของ SIAM เรียบร้อยแล้ว

คำว่า ZOMIA จึงเป็นเพียงความพยายามที่จะไม่เอ่ยถึงอริยธรรมหลักที่มีอิทธพลเหนือดินแดนเอเชียอาคะเนย์ คืออริยธรรมสยาม SIAM CULTURAL เพียงเพื่อที่จะลบประวัติศาสตร์ ไม่ให้คนในพื้นที่ได้เรียนรู้และเข้าใจในความเป็นจริงย้อนหลังอันเจ็บปวดที่ถูกรุกรานจากการล่าอาณานิคมของชาวยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษกับฝรั่งเศส ที่สยามต้องสูญเสียอิทธิพลการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของกลุ่มชนที่อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริยสยาม ที่มีลำดับของการปกครองเป็น พระมหากษัตริย์ กษัตริย์ เจ้าเมือง และลำดับของการปกครองลดหลั่นลงไป โดยเบี่ยงเบนสถานที่ตั้งของการกำเนิดศาสนาพุทธจากประเทศไทย ไปสู่อินเดียและเนปาล เป็นแคว้นลังกาจากบริเวณเมืองกัมโพช ไปเกาซีรอนหรือศรีลังกาปัจจุบัน ความพยายามที่จะกลืนวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ให้ไปอยู่ในดินแดนเมืองอาณานิคมของตนเองก็เพียงเพื่อแอบอ้างถึงความเจริญรุ่งเรืองทางอริยธรรมที่ตนไปสร้าง ซึ่งแท้ที่จริงคือเป็นความพยายามบิดเบือนเพื่อสูบทรัพยากรและการยอมรับของสังคมโลกเท่านั้น แม้แต่วรรณกรรม “รามเกียรติ” ยังพยายามที่จะกลืนเอาเป็นของอินเดีย ทั้งที่ไม่ได้ไตร่ตรองว่า ถ้าคนอินเดียเป็นคนประพันธ์ แล้วประพันธ์ให้ทศกัณฑ์ ซึ่งเป็นคนอินเดีย เป็นคนชั่ว แล้วรบแพ้พระราม ซึ่งไม่ใช่คนเมืองของตน คนอินเดียจะรับเรื่องนี้ได้ไหม??...ซึ่งมันขัดกับธรรมชาติและความเป็นจริงของสามัญสำนึกของความเป็นคน ZOMIA ซึ่งถูกบัญญัติขึ้นมาแทนพื้นที่อเชียอาคะเนย์ เป็นเพียงจุดประสงค์ไม่ให้คนได้รู้จักอริยธรรม และพื้นที่อิทธิพลของสยาม SIAM เท่านั้น