Authority & Harm
ผบช.สตม.แถลง2คดีรวบแก๊งคนต่างชาติ ลักทรัพย์70ล้านและลักลอบค้าโคเคน
สงขลา-ผบช.สตม.แถลง 2 คดีสำคัญ ทั้งรวบหัวหน้าแก๊งโคลอมเบียที่ก่อเหตุลักทรัพย์บ้านของนักธุรกิจที่มาเลเซีย ได้ทรัพย์สินไปรวมกว่า 70 ล้านบาท และอีกคดีจับหนุ่มอิตาลีลักลอบค้าโคเคนให้กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติสายปาร์ตี้บนเกาะสมุย และยังเปิดธุรกิจให้เช่ารถจักรยานยนต์บังหน้าโดยใช้นอมินีชาวไทย
เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ 18 มิ.ย. 67 ที่โรงแรมคริสตัล อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6 , พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล ผู้แทน ผกก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม. ร่วมกันแถลงผลกรปฏิบัติงานของสำนักงานตรวจเข้าเมือง 2 คดีสำคัญในรอบเดือนนี้
โดยคดีแรกทาง ตม.6 และ บก.สส.สตม. ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายโลเปซ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ชาวกัวเตมาลา ได้ที่บริเวณหน้าล็อบบี้ทางเข้าโรงแรมหรูแห่งหนึ่งในซอยสุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ ซึ่งหลบหนีเขาเมืองโดยผิดกฎหมาย
และยังได้รับการประสานจากตำรวจมาเลเซียว่า ชายคนนี้เป็นหัวหน้าแก๊งคนร้ายอเมริกาใต้ที่ก่อเหตุร่วมกันลักทรัพย์ที่บ้านพักนักธุรกิจคนหนึ่งกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อช่วงวันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมา ได้ทรัพย์สินของมีค่าไปรวมมูลค่าหลายรายการรวมกว่า 70 ล้านบาท ซึ่งทั้งแก๊งมี 8 คน และตำรวจมาเลเซียคชติดตามจับกุมไปได้แล้ว 7 คน เหลือแค่เพียงหัวโจกรายนี้ และคาดว่า น่าจะหลบหนีมาตามช่องทางธรรมชาติผ่านข้ามแดนมายังประเทศไทย เพื่อที่จะหลบหนีไปยังเพื่อนบ้าน
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เร่งสืบสวน และเฝ้าติดตามจนกระทั่งทราบว่า ได้หลบหนีเข้ามายัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และหารถเช่าเดินทางต่อไปยังกรุงเทพฯ จึงเข้ารวบตัวได้ในที่สุด
ซึ่งจากการตรวจสอบทราบว่า แท้จริงแล้ว นายโลเปซ เป็นชื่อปลอม โดยชื่อจริงคือ นายมิเกล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี เป็นชาวโคลอมเบีย และจากการตรวจค้นในห้องพักโรงแรมหรูพบของกลางทั้งสร้อยคอ กำไล แหวน และเครื่องประดับรวม 6 ชิ้น ซึ่งคาดว่า เป็นของที่ได้ขโมยมา จึงยึดเอาไว้ และแจ้งข้อหาเป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยสอบสวนเบื้องต้น นายมิเกล ไม่ได้ให้การอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ จึงคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดี รวมทั้งขยายผลไปยังเครือข่ายผู้นำพาข้ามแดน และเมื่อคดีสิ้นสุดจะกักตัวไว้ เพื่อรอดำเนินการตามกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป
ทั้งนี้จากการตรวจสอบยังพบว่า นายมิเกล เคยร่วมกับพวกสัญชาติเดียวกันก่อเหตุเช่ารถตระเวนลักทรัพย์ที่ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2553 ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ลงบันทึกข้อมูลประวัติไว้ในบัญชีบุคคลเฝ้าระวังของ สตม. ด้วย ส่วนอีกคดีเป็นปฏิบัติการสยบนักค้ายาต่างชาติในพื้นที่เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี ซึ่งมีการลักลอบค้าโคเคน และตั้งนอมินีธุรกิจเช่ารถบังหน้ามาหลายปี โดยเจ้าหน้าที่ ตม.สุราษฏร์ธานี ได้จับกุมตัวชายชายต่างชาติคือ นายแมตติโอ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี ชาวอิตาลี ในข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน)
หลังได้รับการร้องเรียนจากพลเมืองดีว่า มีชาวต่างชาติลักลอบขายยาเสพติดให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วยกัน โดยเฉพาะสายปาร์ตี้ ที่เดินทางมรท่องเที่ยวที่เกาะสมุย จึงส่งสายลับชาวต่างชาติสืบหาข้อมูลจนรู้ตัว และวางแผนล่อซื้อ โดยให้สายลับทำทีสั่งโคเคนจำนวน 25 กรัม ราคากรัมละ 2,500 บาท เป็นเงินจำนวน 62,500 บาท ก่อนที่ นายแมตติโอ จะขับรถจักรยานยนต์มาส่งยาให้ที่บริเวณบาร์แห่งหนึ่ง ถนนเลียบหาดละไม ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่จึงรวบตัวเอาไว้ได้
และคุมตัวไปตรวจค้นที่บ้านพักที่บ้านพักเลขที่ 105/23 ม.3 ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย ซึ่งพบว่า ได้เปิดเป็นร้านธุรกิจให้เช่ารถมอเตอไซด์ ชื่อ บริษัท วาสนา มอเตอร์ไบท์ จำกัด เป็นของ นายแมตติโอ โดยไม่พบยาเสพติดเพิ่มเติม
แต่พบรถจักรยานยนต์สำหรับให้เช่าจำนวนมากว่า 70 คัน รวมทั้งสมุดบัญชีธนาคารต่างๆ 8 เล่ม วงเงินหมุนเวียนรวมกว่า 8 ล้านบาท และพบเงินสดเกือบ 1.1 ล้านบาท จึงได้ทำการยึด และอายัดทรัพย์สินนำส่ง สำนักงาน ป.ป.ส.ภ.8 เพื่อดำเนินการตามประมวลกฎหมายยาเสพติด
ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่า ธุรกิจให้เช่ารถมอเตอไซด์ ชื่อ บริษัท วาสนา มอเตอร์ไบท์ จำกัด เป็นของ นายแมตติโอ และมีรถให้เช่ากว่า 70 คัน แท้จริงแล้วมีนอมินีเป็นสาวชาวไทย คือ น.ส.วาสนา (ขอสงวนนามสกุล) โดยสาวชาวไทยถือหุ้นในสัดส่วน 51 เปอร์เซ็น ส่วน นายแมตติโอ ถือหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ โดยทั้งคู่เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นเช่นเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกฎหมายให้สามารถประกอบธุรกิจในราชอาณาจักรตามเงื่อนไขของการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ซึ่งเงินที่ใช้ในการลงทุนทั้งหมด และผลกำไร เป็นของ นายแมตติโอ แต่เพียงผู้เดียว
เจ้าหน้าที่จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ่อผุด ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.วาสนา ในฐานความผิดเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทย ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (นอมินี) เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้
และให้ดำเนินคดีกับนายแมตติโอ เพิ่มเติมในฐานความผิดเป็นบุคคลต่างด้าวยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทย ให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เพื่อให้ตนประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ ตามมาตรา 36 พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ สตม. ให้ข้อมูลว่า จากพฤติการณ์ดังกล่าว นายแมตติโอ ได้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร และเปิดกิจการเช่ารถมอเตอร์ไซด์บังหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ และแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่า ตนเองมีกิจการเป็นที่มั่นคง เพื่อปิดบังอำพรางการได้มาซึ่งทรัพย์สินจากการขายยาเสพติด
ซึ่งจากการสอบถาม นายแมตติโอ ให้ข้อมูลว่า ได้ติดต่อขอซื้อยาเสพติดมาจากกลุ่มคนต่างชาติด้วยกัน แล้วนำมาแบ่งขาย หรือที่ภาษาในหมู่นักขายยาใช้คำว่า “จอยส์” โดยขายให้กับคนต่างชาติตามสถานที่ท่องเที่ยวในยามค่ำคืน และได้ให้ข้อมูลกลุ่มคนต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ขยายผลไปสู่ต้นทางของยาเสพติดที่ระบาดในหมู่นักท่องเที่ยวต่อไป
ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา