In News
นายกฯแถลงร่างพ.ร.บ.งบฯรายจ่ายปี68 กำหนดวงเงิน3,752,700ล้านบาท
กรุงเทพฯ-นายกฯ แถลง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 3,752,700 ล้านบาท ย้ำรัฐบาลดำเนินการตามกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างการเจริญเติบโตให้ประเทศพัฒนาศักยภาพอย่างยั่งยืน เป็นไปตามกฎหมาย
วันนี้ (19 มิถุนายน 2567) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 1 ครั้งที่ 2 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยนายกรัฐมนตรีได้แถลงร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ต่อสภาผู้แทนราษฎร ดังนี้
คณะรัฐมนตรีขอเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมีหลักการและเหตุผล ดังนี้
หลักการ
ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เป็นจำนวนไม่เกิน 3,752,700,000,000 บาท (สามล้านเจ็ดแสนห้าหมื่นสองพันเจ็ดร้อยล้านบาท) โดยในปีนี้ไม่มีการตั้งงบประมาณเพื่อชดใช้เงินคงคลัง
เหตุผล
เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณได้มีกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่รัฐบาลนำเสนอต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เต็มศักยภาพ สร้างรายได้ให้กับประชาชนและประเทศ ผ่านการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา และวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลาง 8 อุตสาหกรรม บนการพัฒนา 6 พื้นฐานสำคัญ มาเป็นแนวทางในการบริหารจัดการงบประมาณ ในการพัฒนาและจัดสรรทรัพยากรของประเทศให้บรรลุเป้าหมาย รวมทั้งคำนึงถึงความสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และแผนการปฏิบัติราชการของกระทรวง เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
ภาวะเศรษฐกิจทั่วไป
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2567 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.5 - 3.5 (ค่ากลางร้อยละ 3.0) มีการปรับลดลงจากประมาณการเดิมที่ประมาณการไว้ในแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2568 - 2571) ฉบับทบทวน ณ เดือนเมษายน 2567 โดยมีแรงสนับสนุนจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้าตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก การขยายตัวของการอุปโภคบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญจากความยืดเยื้อของความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้า ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และสร้างความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุน สำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในปี 2568 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2568 จะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.7 - 1.7 (ค่ากลางร้อยละ 1.2) และดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลร้อยละ 1.5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
ในช่วงปลายปี 2567 นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะถึงมือคนไทย 50 ล้านคน เกิดเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงตั้งแต่ระดับฐานราก กระจายไปยังพื้นที่ทั่วประเทศ ก่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย การสั่งผลิตสินค้า การจ้างงาน และหมุนกลับมาเป็นเงินภาษีให้กับภาครัฐ เพื่อใช้ในการลงทุนเพื่อสร้างขีดความสามารถให้กับประเทศต่อไป
ช่วงต้นปี 2567 รัฐบาลได้ประกาศวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ของประเทศไทย เป็นเป้าหมายของการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของ 8 ด้าน ได้แก่ ศูนย์กลางการท่องเที่ยว ศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพ ศูนย์กลางเกษตรและอาหาร ศูนย์กลางการบิน ศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์แห่งอนาคต ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล และศูนย์กลางการเงิน บนการพัฒนา 6 พื้นฐานที่สำคัญได้แก่ การเป็นรัฐบาลดิจิทัลเพื่อความโปร่งใส ความเสมอภาคเท่าเทียม ความสะอาดและปลอดภัย ระบบขนส่งที่เข้าถึงและสะดวก การศึกษาและเรียนรู้สำหรับทุกคน และพลังงานสะอาดและมั่นคง
กลยุทธ์ของการมุ่งไปสู่ 8 ศูนย์กลาง คือการต่อยอดจุดแข็งของประเทศด้านต่าง ๆ เช่น สถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ทักษะของคนไทย โครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรมในปัจจุบันที่รัฐบาลจะให้การสนับสนุนต่อยอด ให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของภูมิภาคและของโลกได้ เช่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมการขนส่งและการบิน เป็นต้น
อีกกลยุทธ์หนึ่ง คือ การใช้ประโยชน์จากความเป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ สภาวะสงครามที่เกิดขึ้นในซีกโลกตะวันตก เกิดเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในภาคอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร เป็นต้น โดยความเป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์จะสร้างความมั่นใจให้กับภาคอุตสาหกรรม ว่าห่วงโซ่อุปทานและการดำเนินธุรกิจจะมีความยืดหยุ่น (Resilient) ต่อสถานการณ์ความตึงเครียดต่าง ๆ จึงทำให้ประเทศไทยเหมาะสมที่จะเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมดังกล่าวของภูมิภาคและของโลกได้
ครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2567 แสดงให้เห็นว่าการท่องเที่ยวเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยมีเป้าหมายไว้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศทั้งปีมากกว่า 36.7 ล้านคน กลับไปสู่ระดับสูงใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด และรัฐบาลมีแผนที่จะทำให้ปี 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่ เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้มากยิ่งขึ้น และกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวผ่านการเฟ้นหาจุดเด่น จัดเทศกาล กิจกรรม คอนเสิร์ต หรือการแสดงต่าง ๆ เพื่อเพิ่มระยะเวลาการพำนัก และค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติให้มากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของนักท่องเที่ยวในอนาคต ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการขยายโครงสร้างพื้นฐานทางอากาศมากยิ่งขึ้น ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางการบิน โดยรัฐบาลจะเดินหน้าขยายโครงข่ายสนามบินทั่วประเทศเพื่อให้รองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น และขยายกำลังความสามารถในการขนส่งทางอากาศ การขนส่งควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) และเชื่อมต่อไปยังการขนส่งทางรถ ราง และเรืออย่างครบวงจร ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งจากไทยไปยังกลุ่มประเทศ CLMV และเชื่อมต่อไปยัง Land Bridge เพื่อไปทั่วโลกได้ เกษตรกรรมและอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถยกระดับสู่อุตสาหกรรมมูลค่าสูง รัฐบาลมีมาตรการที่จะดูแลภาคส่วนนี้ตั้งแต่ต้นน้ำโดยการบริหารจัดการน้ำ ดิน พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ การแปรรูป และดูแลบริหารอย่างครบวงจร ทำให้ภาคเกษตรและอาหารแข็งแรงยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนี้สินยังเป็นปัญหาใหญ่ โดยเฉพาะในภาคครัวเรือนที่มีภาระหนี้สินสูงกว่าร้อยละ 91.3 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และยังซ้ำร้ายด้วยภาระหนี้นอกระบบ โดยรัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือในการไกล่เกลี่ย และจับกุมเจ้าหนี้นอกระบบที่ทำผิดกฎหมาย เพื่อคืนอิสรภาพให้กับพี่น้องประชาชนที่เคยตกอยู่ในวังวนหนี้สินไม่รู้จบ ในภาคธุรกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประเมินว่าใน SMEs จำนวนกว่า 3.2 ล้านราย มีเพียงไม่ถึงครึ่งที่เข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน ทำให้ต้องอาศัยแหล่งสินเชื่อที่ไม่เป็นธรรม ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ ด้านการใช้จ่ายจำเป็นในการหมุนเวียนประจำวัน และการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ ส่งผลให้หลายบริษัทต้องปิดตัวลง การเจริญเติบโตในภาค SMEs อยู่ในระดับต่ำ สินเชื่อในกลุ่ม SMEs มีการขยายตัวติดลบร้อยละ 5.1 ในขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวร้อยละ 3.3 ในไตรมาส 1 ของปี 2567
การลงทุนจากต่างประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และได้มีการขอรับบัตรส่งเสริมการลงทุนมูลค่ารวมกว่า 850,000 ล้านบาทในปี 2566 ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 9 ปี เป็นผลจากการเดินหน้าเจรจาการค้าการลงทุนอย่างต่อเนื่องร่วมกับภาคเอกชนในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เป็นการดำเนินนโยบายที่ใช้งบประมาณน้อยแต่ได้ผลมาก
ตัวอย่างของความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา คือการประกาศเปิดศูนย์ข้อมูล (Data Center) ของภาคเอกชนรายใหญ่จากต่างประเทศ หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศนโยบายคลาวด์เป็นหลัก (Cloud First Policy) และเดินหน้าเจรจาการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
การลงทุนดังกล่าวเป็นหนึ่งในความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง และยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้ ความสามารถ ทำให้คนไทยและบริษัทไทยเข้าถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ได้ง่ายยิ่งขึ้น ก่อให้เกิดการตื่นตัวของนักศึกษา นักวิจัย และบริษัทเอกชนที่เริ่มใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวในการเพิ่มผลิตผล (Productivity) อย่างรวดเร็ว มีหลายบริษัทในอุตสาหกรรมชั้นสูงได้แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนที่จะเข้ามาลงทุนตั้งบริษัท และสำนักงานในประเทศไทย เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูง อุตสาหกรรมเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นต้น รวมถึงมีความต้องการที่จะลงทุนพัฒนาบุคลากรในประเทศ เพื่อให้ตอบโจทย์ตลาดแรงงานในอนาคตอีกด้วย ก่อให้เกิดความร่วมมือในระดับภาคการศึกษา ภาคแรงงาน และภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง
นโยบายการคลังและความสัมพันธ์ระหว่างรายรับและงบประมาณรายจ่ายที่ขอตั้ง
ภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจดังกล่าว ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุล เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่อง โดยประมาณการจัดเก็บรายได้จากภาษีอากร (สุทธิ) การขายสิ่งของและบริการ รายได้จากรัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น รวมสุทธิทั้งสิ้น จำนวน 3,022,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 จากปีก่อน และหักการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 135,700 ล้านบาท คงเหลือเป็นรายได้สุทธิที่สามารถนำมาจัดสรรเป็นรายจ่ายของรัฐบาล จำนวน 2,887,000 ล้านบาท ประกอบกับเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 865,700 ล้านบาท รวมเป็นรายรับทั้งสิ้น 3,752,700 ล้านบาท เท่ากับวงเงินงบประมาณรายจ่าย การจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล จึงมีความสำคัญและจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า ให้เติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเม็ดเงินจำนวนมากจะไหลจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชน ก่อให้เกิดการสั่งซื้อสินค้า การบริการ และหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ฐานะการคลัง
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 มีจำนวน 11,474,154.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 63.37 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะ ตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กำหนดไว้ต้องไม่เกินร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
ปัจจุบันฐานะเงินคงคลัง ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 มีจำนวน 430,076.3 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และบริหารรายรับและรายจ่ายของรัฐให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
ฐานะและนโยบายการเงิน
คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี ในการประชุมเมื่อเดือนมิถุนายน 2567 โดยมีเหตุผลว่าเป็นอัตราที่สอดคล้องกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงิน มีอัตราเงินเฟ้อที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่โน้มเข้าสู่ศักยภาพ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง และการเบิกจ่ายภาครัฐที่กลับมาเร่งขึ้นในไตรมาส 2 ของปี 2567 อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามความท้าทายต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคการส่งออกและภาคการผลิต ที่ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจโลก ปัญหาเชิงโครงสร้างที่อาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง และภาค SMEs จำนวนมากที่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งการดำเนินนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ต้องอาศัยการดำเนินการที่สอดประสานกันระหว่างภาคการเงินและการคลัง ฐานะการเงินด้านต่างประเทศของไทยในปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ดี มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 มีจำนวน 224,483.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.5 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมาก
สาระสำคัญของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3,752,700 ล้านบาท จำแนกเป็นรายจ่ายประจำ จำนวน 2,704,574.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 72.1 รายจ่ายลงทุน จำนวน 908,224 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24.2 ซึ่งเป็นสัดส่วนการลงทุนที่สูงที่สุดในรอบ 17 ปี และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 150,100 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.0 ทั้งนี้ รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้เป็นรายจ่ายลงทุนกรณีการกู้เพื่อการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ จำนวน 10,198.7 ล้านบาท
1. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำแนกตามกลุ่มงบประมาณ
1.1 งบประมาณรายจ่ายงบกลาง กำหนดไว้ จำนวน 805,745.0 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21.5 ของวงเงินงบประมาณ
1.2 งบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ กำหนดไว้ จำนวน 1,254,576.8 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 33.4 ของวงเงินงบประมาณ
1.3 งบประมาณรายจ่ายบูรณาการ กำหนดไว้ จำนวน 206,858.5 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.5 ของวงเงินงบประมาณ จำนวน 10 เรื่อง ได้แก่
1. ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
2. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
3. ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ
4. เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย
5. บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
6. ป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด
7. พัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์
8. พัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต
9. รัฐบาลดิจิทัล
10. สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว
1.4 งบประมาณรายจ่ายบุคลากร กำหนดไว้ จำนวน 800,969.6 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21.4 ของวงเงินงบประมาณ
1.5 งบประมาณรายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน กำหนดไว้ จำนวน 274,296.4 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 7.3 ของวงเงินงบประมาณ
1.6 งบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ กำหนดไว้ จำนวน 410,253.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 10.9 ของวงเงินงบประมาณ
2. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กำหนดไว้จำนวน 6 ยุทธศาสตร์ 1 รายการ มีรายละเอียดการดำเนินงานที่สำคัญสรุปได้ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 1 : ด้านความมั่นคง
รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 405,412.8 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.8 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อพัฒนาความมั่นคงของประเทศ จำแนกตามแผนงาน ดังนี้
1) การป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด งบประมาณ 5,087.7 ล้านบาท เพื่อให้ปัญหายาเสพติดได้รับการแก้ไข เด็ก เยาวชน ผู้ใช้แรงงาน และประชาชนกลุ่มเป้าหมาย มีภูมิคุ้มกันรู้เท่าทันและปลอดภัยจากยาเสพติด ให้การช่วยเหลือผู้เสพยาเสพติดที่เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สร้างการยอมรับและให้โอกาสทางสังคมกับผู้ที่ได้รับการบำบัด ให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ
2) การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ งบประมาณ 5,629.2 ล้านบาท เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศแนวหน้าในภูมิภาคอาเซียน มีเกียรติภูมิ อำนาจต่อรอง และได้รับการยอมรับในสากล เป็นหุ้นส่วนการพัฒนาที่ยั่งยืน สร้างอำนาจแบบนุ่มนวล ดำเนินการเพื่อสันติภาพตามกรอบสหประชาชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศ ตลอดจนส่งเสริมการแก้ไขความขัดแย้งโดยใช้แนวทางสันติวิธี
3) การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ งบประมาณ 5,781.9 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีความปลอดภัยทั้งในชีวิตและทรัพย์สิน มีเป้าหมายให้การสูญเสียและเหตุการณ์รุนแรงลดลงร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 โดยใช้แนวทางสันติวิธีแก้ไขปัญหา เพื่อให้เกิดสันติสุขอย่างต่อเนื่อง พัฒนากระบวนการยุติธรรมและการเยียวยาบนหลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้ง ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และพัฒนาศักยภาพของพื้นที่ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและความต้องการของประชาชน บนพื้นฐานของสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ตลอดจนเสริมสร้างความเข้าใจทั้งภายในและภายนอกประเทศ และสร้างการมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างมีประสิทธิภาพ
4) การเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ งบประมาณ 12,700.6 ล้านบาท เพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ สร้างความผูกพันที่ดีระหว่างสถาบันหลักและประชาชน ความจงรักภักดี และเป็นที่เคารพยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตลอดจน ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันของคนในชาติอย่างสันติ บนพื้นฐานสิทธิมนุษยชน
5) การป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง งบประมาณ 18,376.9 ล้านบาท เพื่อรักษาความมั่นคงภายในประเทศ ป้องกันภัยคุกคามข้ามชาติและความมั่นคงทางชายแดน ชายฝั่งทะเล ป้องกันภัยอาชญกรรมข้ามชาติ เสริมสร้างขีดความสามารถในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และมีระบบป้องกันเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี ตลอดจน ติดตาม ตรวจสอบ และเฝ้าระวังการทำประมงให้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่น้อยกว่า 179,800 ครั้ง
6) การพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมแห่งชาติและระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ งบประมาณ 24,582.7 ล้านบาท เพื่อบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภายในและภายนอกประเทศ และเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือการป้องกันบรรเทาสาธารณภัยและภัยพิบัติ โดยปรับปรุงนโยบายการบริหารจัดการ และพัฒนาระบบเตือนภัยให้รองรับและครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงภัยทั่วประเทศ ระบบพยากรณ์เตือนภัยล่วงหน้าและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้ง ลดความเสียหายและป้องกันการพังทลายของพื้นที่ตลิ่งริมแม่น้ำภายในประเทศ ด้วยเขื่อนป้องกันตลิ่ง ความยาว 181,223 เมตร
7) การรักษาความสงบภายในประเทศ งบประมาณ 28,608.9 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นคง ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเพิ่มขึ้น โดยเสริมสร้างความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันท่ามกลางสังคมพหุวัฒนธรรม เคารพในความหลากหลายระหว่างศาสนิกชน มุ่งเน้นการปลูกจิตสำนึกและเสริมสร้างความเป็นพลเมือง พร้อมทั้งส่งเสริมสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษาในการวางรากฐานความมั่นคงของประเทศ
8) การพัฒนาศักยภาพการป้องกันประเทศ และความพร้อมเผชิญภัยคุกคามทุกมิติ งบประมาณ 61,182.7 ล้านบาท เพื่อให้หน่วยงานด้านความมั่นคง มีความพร้อมที่จะเผชิญภัยคุกคามทุกรูปแบบ ทุกมิติ และทุกระดับความรุนแรง พัฒนาระบบงานข่าวกรอง รวมทั้งการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพด้านการพัฒนาประเทศ การช่วยเหลือประชาชน และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร รวมทั้ง ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการป้องกันประเทศ
9) การดำเนินงานภารกิจพื้นฐานและภารกิจอื่น งบประมาณ 40,663.1 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ งบประมาณ 202,799.1 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคงให้มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่า รวมทั้ง พัฒนาและเสริมสร้างการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พัฒนากลไกการบริหารจัดการความมั่นคงแบบองค์รวม และจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์
ยุทธศาสตร์ที่ 2 : ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณรายจ่าย จำนวน 398,185.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.6 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้มีเสถียรภาพและยั่งยืน ผลักดันการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเป็นศูนย์กลางการขนส่ง ขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุน โดยมีเป้าหมายกระจายความเจริญในทุกภูมิภาคของประเทศ จำแนกตามแผนงาน ดังนี้
1) การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ งบประมาณ 429.3 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม สังคม สิ่งแวดล้อม พัฒนาด่านศุลกากรในเขตเศรษฐกิจพิเศษ 1 แห่ง และเพิ่มประสิทธิภาพที่ทำการปกครองจังหวัด/อำเภอ เพื่อสนับสนุนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 33 แห่ง รวมถึงพัฒนาทักษะอาชีพ และเสริมสร้างสมรรถนะผู้ประกอบการในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ 4 ภาค
2) การพัฒนาความมั่นคงทางพลังงาน งบประมาณ 1,998.0 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทั้งระบบให้มีความมั่นคง สนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในทุกภาคส่วน รักษาอัตราการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลวในประเทศไม่น้อยกว่า 140,000 บาร์เรลต่อวัน สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเพื่อบริหารจัดการผลิตพลังงาน และการใช้พลังงานทดแทน พลังงานทางเลือก กำกับดูแลกลไกตลาดพลังงานให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรม รวมทั้งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการใช้พลังงานของประเทศ วางแผนความต้องการและสนับสนุนการจัดหาแหล่งพลังงานอย่างเหมาะสม ส่งเสริมการผลิตการใช้พลังงานสะอาด และพลังงานหมุนเวียน เพิ่มสมรรถนะด้านการบริหารและจัดการพลังงานครบวงจรในชุมชน ระดับตำบล และเครือข่ายพลังงานชุมชน เช่น จำนวนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการจัดกระบวนการเรียนรู้ด้านการจัดการพลังงานในชุมชนไม่น้อยกว่า 541 แห่ง โครงการด้านพลังงานชุมชนสามารถลดการใช้พลังงานได้รวมไม่น้อยกว่า 1.12 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ/ปี
3) การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล งบประมาณ 2,790.5 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยการขยายโครงข่ายสื่อสารหลักและบรอดแบรนด์ความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ส่งเสริมการลงทุนและใช้ทรัพยากรร่วมกัน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เช่น ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และบริการคลาวด์กลางภาครัฐ พร้อมมาตรการเฝ้าระวังภัยคุกคามไซเบอร์ เพิ่มประสิทธิภาพการตัดวงจรอาชญากรรมออนไลน์ ปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในทุกสาขาอาชีพ รวมถึงอุตสาหกรรมเกมซอฟต์พาวเวอร์ไทย
4) การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เข้มแข็ง แข่งขันได้ งบประมาณ 4,931.7 ล้านบาท เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และผู้ประกอบการชุมชนมีความรู้และทักษะของการเป็นผู้ประกอบการที่มีอัตลักษณ์ชัดเจน พัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ด้านสาขาอาหาร โดยพัฒนาเชฟ 17,400 ราย ผู้ประกอบการ 200 กิจการ/กลุ่ม ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนา 150 ผลิตภัณฑ์ พัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ด้านแฟชั่น โดยพัฒนาผู้ประกอบการ 500 ราย สินค้าแฟชั่น 100 กิจการ รวมทั้งมีนวัตกรรมในการผลิตสินค้าและบริการ สามารถปรับตัวสู่ธุรกิจใหม่ โดยเสริมสร้างศักยภาพวิสาหกิจในการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล ส่งผลให้เกิดการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งทุน เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาและยกระดับธุรกิจ ส่งเสริมผู้ประกอบการให้มีช่องทางการค้าผ่าน e-commerce 25,800 ราย รวมทั้งส่งเสริมการลงทุนที่เน้นการวิจัย พัฒนา และสร้างนวัตกรรม สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน และส่งเสริม SMEs ให้แข่งขันได้ในตลาดสากล
5) เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก งบประมาณ 7,615.0 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมีเป้าหมายให้เกิดการลงทุนจริงในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านบาท โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมขนส่ง และระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ เข้าถึงได้สะดวก และเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ เช่น โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมสนามบินอู่ตะเภา เป็นต้น พัฒนาเมืองให้น่าอยู่ มีความทันสมัย สะดวก ปลอดภัย และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและชุมชนในพื้นที่ ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลง เช่น เตรียมพื้นที่สำหรับพัฒนาศูนย์ธุรกิจ และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ พัฒนาพื้นที่ชุมชนและปรับปรุงภูมิทัศน์ตามผังเมืองอีอีซี ไม่น้อยกว่า 21 แห่ง ยกระดับและพัฒนาศูนย์การแพทย์ครบวงจร 2 แห่ง โรงพยาบาลศูนย์เฉพาะทาง 1 แห่ง ผลิตและพัฒนาบุคลากรให้มีสมรรถนะตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายไม่น้อยกว่า 2,700 คน และถ่ายทอดเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ และเกษตรอัจฉริยะ 40 ชุมชน
6) การพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต งบประมาณ 8,737.7 ล้านบาท เพื่อเพิ่มอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 4.8 โดยส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคตให้เกิดการขยายตัว ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมชีวภาพ อุตสาหกรรมและบริการทางการแพทย์ อุตสาหกรรมและบริการดิจิทัล ข้อมูลปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติและอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอากาศยาน และอุตสาหกรรมความมั่นคง โดยสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต เช่น โครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมฮาลาล และพัฒนาอุตสาหกรรมความมั่นคงของประเทศที่มีศักยภาพเชิงเศรษฐกิจ ตลอดจนพัฒนาต่อยอดความเข้มแข็งของอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและกำลังคนเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน
7) การสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว งบประมาณ 11,297.4 ล้านบาท เพื่อให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีเป้าหมายเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว 3.4 ล้านล้านบาท และอันดับการพัฒนาการเดินทางและการท่องเที่ยวอยู่ 1 ใน 30 ของโลก โดยส่งเสริมการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ สนับสนุนการสร้างความหลากหลายด้านการท่องเที่ยว ให้สอดคล้องความต้องการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ กลุ่มคุณภาพ กลุ่มกีฬา กลุ่มสุขภาพ และกลุ่มความสนใจพิเศษไม่น้อยกว่า 35 ล้านคน สนับสนุนและผลักดันให้ชุมชนเข้าสู่ตลาดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) จัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการระดับนานาชาติ พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมเชื่อมโยงไปยังภูมิภาค โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวทางถนน 23 สายทาง ก่อสร้างทางหลวงชนบทเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวหลักกับแหล่งท่องเที่ยวรอง ระยะทางไม่น้อยกว่า 213.295 กิโลเมตร ปรับปรุงท่าเรือ 6 แห่ง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวสำราญทางน้ำ เพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวของสวนสัตว์ 6 แห่ง และจัดตั้งสวนสัตว์แห่งใหม่ จังหวัดปทุมธานี ให้ทันสมัยและได้มาตรฐานระดับโลก รวมทั้งพัฒนาชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี 100 หมู่บ้าน แหล่งท่องเที่ยวทางมรดกศิลปวัฒนธรรม 11 แหล่ง และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้เป็นแหล่งเรียนรู้ 8 แห่ง
8) การพัฒนาพื้นที่แ?