In News
นายกฯตอบคำถามสื่อใน4ประเด็นสำคัญ 'คุยแบงค์ชาติ-ผลงาน-งบฯ68-บิ๊กตร.'
กรุงเทพฯ-นายกฯ เผย เตรียมแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ สั้น-กลาง-ยาว 24 มิ.ย.นี้ ย้ำต้องพูดคุยกับ ผว.แบงค์ชาติ ต่อไป หลัง ผว.แบงค์ชาติ ไม่เห็นด้วยกับการปรับกรอบเงินเฟ้อและได้เผย รับฟังเสียงวิจารณ์ลงพื้นที่ถี่-ไม่มีผลงาน น้อมรับผลโพล ลดจุดลงพื้นที่ให้น้อยลง เพื่อรับฟังปัญหาให้นานขึ้น พร้อม ไม่หวั่นจะมีการคว่ำร่างงบประมาณ 68 มั่นใจพรรคร่วมรัฐบาลเหนียวแน่น ยืนยันไม่เคยพูดปรับ พปชร.ออกจากพรรคร่วม ย้ำยึดประโยชน์ประชาชนมากกว่าการเมืองและ“นายกฯ”ขอ ปชช. อย่าเพิ่งด่วนสรุป ผลสอบ บิ๊กตำรวจ ให้รอรายละเอียดในคำสั่ง หากมีความผิด ต้องจัดการขั้นเด็ดขาด ยอมรับประชาชนเสื่อมศรัทธา ต้องเร่งกอบกู้คืน
วันนี้ (21 มิถุนายน 2567) เวลา 10.00 น. ณ อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้มีการพูดคุยกับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยได้ปรึกษาเรื่องตลาดหลักทรัพย์และหลาย ๆ เรื่อง และในวันที่ 24 หรือ 25 มิ.ย.นี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะมีการแถลงมาตรการเศรษฐกิจสั้น กลาง ยาว เป็นการแถลงใหญ่
ผู้สื่อข่าวถามว่า ล่าสุดนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ โดยระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการปรับกรอบเงินเฟ้อนั้น นายกฯ กล่าวว่า ก็ต้องพูดคุยกันต่อไป เป็นหน้าที่ของนายพิชัยที่จะต้องพูดคุย และเชื่อว่าการปรับกรอบเงินเฟ้อยังเป็นหนึ่งในหลาย ๆ แนวทางที่เราสามารถพูดคุยกันได้ “ท่านจะคุยกับสื่อต่างประเทศอย่างเดียว ไม่คุยกับสื่อไทยเลยหรือ” นายกฯ ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เรียกร้องให้รัฐบาลดูแลราคาน้ำมันดีเซลและประกาศจะรวมตัวในช่วงต้นเดือนก.ค.นี้ รัฐบาลจะมีมาตรการช่วยตรึงราคาน้ำมันหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ต้องขอไปพูดคุยกับกระทรวงพลังงานก่อน
นายกฯ เผย รับฟังเสียงวิจารณ์ลงพื้นที่ถี่-ไม่มีผลงาน น้อมรับผลโพล
นายเศรษฐา กล่าวถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์การลงพื้นที่เยอะ เพื่อเอาจำนวน แต่ผลงานยังไม่เห็น ว่า อย่างที่ตนเองได้ลงพื้นที่ไปทุกครั้งใช้เวลาช่วงเสาร์อาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุด ดังนั้น ตนเองเชื่อว่าการบริหารราชการแผ่นดินเราไม่ได้เสียเวลาตรงนี้ ซึ่งตนเองไปต่างประเทศบ่อยก็ถูกว่า ไปต่างจังหวัดดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนก็โดนว่า อย่างที่ได้มีการประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.นครราชสีมา ในวันที่ 1 - 2 ก.ค. นี้ ตนเองก็ถือโอกาสไปให้เต็มที่ตั้งแต่เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร ทัวร์จังหวัดในอีสานไล่ลงมาตั้งแต่ ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ ชัยภูมิ และจังหวัดสุดท้ายนครราชสีมา ถ้าไม่ลงพื้นที่เราก็ไม่ทราบปัญหาจริง ๆ ดังนั้นตรงนี้เป็นเรื่องของการเมืองมากกว่า ก็ไม่อยากเอามารกหู เรามีหน้าที่ก็ต้องทำไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า เสียงวิจารณ์แบบนี้ไม่ทำให้เกิดความรำคาญใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เอาแบบตรงตรงเลยก็ต้องรำคาญบ้างเป็นธรรมดา แต่ตนแน่วแน่ในหลักการทำงาน “ผมก็คน ๆ นึงเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก”
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน ชี้ว่าคุณภาพการลงพื้นที่ในการทำงานของรัฐบาล ยังไม่เห็นผล นายกฯ กล่าวว่า ตรงนี้ก็มีสาระอันนึงเหมือนกัน ซึ่งไม่ใช่ทุกอย่างจะเป็นเรื่องน่ารำคาญหรือรกหู เราก็มานั่งดู อย่างเช่นมีเสียงบอกมาว่าอาจจะลงพื้นที่ถี่ไป อาจจะลงพื้นที่ไม่ลึกพอ อาจจะมีการหยุดในหลายจุดเยอะเกินไป ในพรรคเพื่อไทยเราก็มีการคุยกันว่า ตนเองควรจะลงพื้นที่ในระยะเวลาเท่าเดิม แต่จำนวนจุดให้ลดลง จาก 4 จุด ให้เหลือ 2 จุด เพื่อจะได้พูดคุยลงลึกถึงปัญหาได้เยอะขึ้น อันนี้ตนเองก็รับฟัง ไม่ใช่ทุกเรื่องเป็นเรื่องน่ารำคาญ หรือจะไม่รับฟังตรงนี้
นายกรัฐมนตรี เผย ไม่หวั่นจะมีการคว่ำร่างงบประมาณ 68
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านจะตั้งธงคว่ำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ว่า เรื่องของการเมืองคือเรื่องของการเมือง เวทีสภาเป็นเวทีให้ทุกฝ่ายมานำเสนอ ทั้งข้อท้วงติงและข้อเสนอแนะ สำหรับเรื่องของการคว่ำร่างนั้น อยากให้นึกถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ ร่างฯ นี้ นอกจากรัฐบาลที่จะใช้เงิน ก็ยังเป็นประโยชน์กับประชาชน โดยตนเองเข้าใจว่ารัฐบาลมี 314 เสียง ถ้ารวมกันก็เหนียวแน่น คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร
ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวการปรับพรรคพลังประชารัฐออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล จะส่งผลต่อเสียง ส.ส.ที่จะลงมติผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 หรือไม่ นายกฯ ปฏิเสธว่ายังไม่ได้พูด และยังไม่เคยคุยว่าจะปรับ พร้อมยืนยัน กระแสข่าวที่ออกมาไม่ได้มาจากตนเอง เพราะไม่ได้พูดอะไรเลย ทุกวันนี้มีการพูดคุยกันดีอยู่
ส่วนจะมีการปรับตามที่เป็นกระแสข่าวหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ถ้าอยู่ครบสี่ปีจะไม่ปรับก็เป็นไปไม่ได้ ขออย่าคาดเดาตรงนั้น เพราะยังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่ามาก ช่วงนี้ยังมีเรื่องสำคัญอีกเยอะ ทั้งเรื่องงบประมาณ 2568 ก็ต้องโหวตให้ผ่าน รวมถึงปัญหาของพี่น้องประชาชน รวมถึงการจัดพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ซึ่งเราควรช่วยกันตรงนี้จะดีกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองหรือไม่ว่าการปล่อยข่าวออกมาเพื่อสร้างกระแสความสับสนและสั่นคลอนในพรรคร่วมรัฐบาล นายกฯ กล่าวว่าไม่ทราบว่าข่าวมาจากไหน แต่คนที่จะจรดปากกาคือตนเอง ซึ่งย้ำว่าไม่มีอะไรขอดูเรื่องปัญหาบ้านเมืองเป็นหลักดีกว่า และควรเล่นการเมืองให้น้อยลงหน่อยดีกว่า ส่วนจะถือเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพรรคประชารัฐหรือไม่ นายกรัฐมนตรีมองว่าเป็นการให้ความมั่นใจกับประชาชนมากกว่า เพราะเราเอาพี่น้องประชาชนเป็นหลัก
ส่วนการที่พรรคพลังประชารัฐ เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงรับประทานอาหารพรรคร่วมรัฐบาลนั้น นายกฯ กล่าวว่าร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นผู้นัดหมาย ซึ่งตนไม่ทราบว่าจะเป็นวันไหนแต่ก็พร้อมเสมอ เพราะช่วงนี้ไม่มีเดินทางไปปฎิบัติภารกิจที่ต่างประเทศ แต่จะลงพื้นที่ต่างจังหวัดจำนวนมาก รวมถึงการประชุมประชุมครม.สัญจร โดยหลังการประชุมครม.สัญจร ก็คาดว่าจะมีช่วงว่าง เพราะไม่ได้ติดภารกิจใด
“นายกฯ”ขอปชช.อย่าเพิ่งด่วนสรุปผลสอบบิ๊กตำรวจ
นายเศรษฐา กล่าวถึงการลงนามคำสั่ง ให้พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กลับคืนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผลสอบที่ออกมา ประชาชนค่อนข้างผิดหวัง เนื่องจากอยากให้มีการลงโทษ ว่า “ขอดูคำสั่งก่อน ว่าส่วนที่สามารถออกสู่สาธารณชนได้มีเนื้อหาอย่างไร ให้พวกคุณอ่านผลสอบว่าเป็นอย่างไร อย่าเพิ่งไปหาบทสรุปเร็วขนาดนั้นเลย”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ภาพลักษณ์วงการตำรวจที่กระฉ่อนในทางลบ ในฐานะที่กำกับดูแล สตช. จะล้างทำความสะอาดบ้านหลังนี้อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ปัญหาในองค์กรมีอยู่แล้ว ต้องยอมรับว่าตอนที่ตนเข้ามาพยายามที่จะสะสาง พยายามที่จะบริหารจัดการ เรื่องที่เป็นปัญหาที่เบอร์ 1 เบอร์ 2 ทะเลาะกัน เมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมา ก็มีการสั่งการ จึงมีการตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบ หาข้อเท็จจริงต่างๆ วันนี้มาถึงจุดที่ใกล้จะจบแล้ว ต้องทำอะไรบ้างขออีกนิดนึง ให้ผลออกมา แล้วค่อยมาพูดคุยกันใหม่ดีหรือไม่ เรื่องของปัญหาเราทราบดีอยู่แล้ว เราไม่ได้ปล่อยปละละทิ้ง ละเลย
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า จะสามารถเรียกศรัทธากลับคืนมาได้หรือไม่ นายกฯ กล่าวยอมรับว่าต้องใช้เวลา ทั้งนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองคน แต่มีขบวนการตามกฎหมายอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเป็นนายกฯ แล้ว จะทำได้ทุกอย่าง ก็ต้องให้ให้เกียรติกับคู่กรณี หรือคนที่ถูกรับโทษ พร้อมกับมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน ให้มันถูกต้อง ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากมีความผิด ต้องจัดการขั้นเด็ดขาด