In News
นายกฯยก'ร้อยเอ็ด'เป็นจังหวัดปลอดยาฯ แห่งแรกในอีสานยันทุกฝ่ายร่วมมือสำเร็จ
กรุงเทพฯ-“คารม” ขอบคุณนายกฯ เชื่อมั่นประกาศให้ร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดสีขาว ปลอดยาเสพติด จังหวัดแรกของอีสาน เชื่อหากทุกฝ่ายร่วมมือกัน อย่างจริงจังปัญหานี้สำเร็จ
วันที่ 30 มิถุนายน 2567 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ ในหลายจังหวัดทางภาคอีสาน หลายจังหวัดมี จังหวัดร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อุบลราชธานี สุรินทร์ ระหว่างวันที่ 28 -30 มิถุนายน 2567 เพื่อพบปะกับประชาชน และรับทราบปัญหาต่าง ๆ ก่อนที่เข้าร่วมประชุม ครม. สัญจรที่จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2567
นายคารม กล่าวว่า ในการลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด นายกรัฐมนตรีได้ประกาศนโยบายเกี่ยวกับการแก้ปัญหายาเสพติด ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญของทุกรัฐบาล และมีหน่วยงานที่เกี่ยวหลายหน่วยงาน เช่นสำนักงานป้องกันและปราบยาเสพติด ( ปปส.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย ร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้ โดยเฉพาะในส่วนกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบนโยบายใช้เครือข่ายของกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัดให้ร่วมมือในการกวาดล้างกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดซึ่งนายอนุทินฯ ได้เน้นและย้ำเสมอว่า “ คนค้ายาเสพติด ไม่มีทางชนะรัฐได้ ให้เลิกซะ”
นายคารม กล่าวต่อไปว่า ในการลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดครั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้พูดกับพี่น้องชาวร้อยเอ็ดว่า จะทำให้ร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดสีขาว ปลอดยาเสพติด ผมในฐานะรองโฆษกรัฐบาลเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด รู้สึกขอบคุณนายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่เดินหน้าร่วมมือกันปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง เพราะยาเสพติดทุกชนิด เป็นอันตรายต่อคนเสพ ทั้งร่างกาย และจิตใจ ลดทอนประสิทธิภาพการทำงาน ทำลายครอบครัว รวมทั้งยังเป็นการทำผิดกฎหมายที่สร้างความร่ำรวยแบบผิด ๆ ทำร้ายสังคม โดยเฉพาะจังหวัดร้อยเอ็ดมีความโดยเด่น เรื่องการใช้ชุมชนบำบัดผู้ติดยาเสพติดที่รู้จักทั่วประเทศ คือ“ หัวโทนโมเดล ” เป็นต้นแบบในการรักษาและบำบัดคนที่ติดยาเสพติด เพื่อให้กลับเข้าสู่สังคม และให้เลิกเสพยา
”นโยบายปราบปรามยาเสพติด เป็นนโยบายสาธารณะ ที่ประกาศโดยรัฐบาลมาทุกรัฐบาล อยากให้ทุกคนตระหนักว่า เมื่อทำนโยบายนี้ให้เกิดแล้ว และได้มีการนำไปปฏิบัติแล้ว ขอให้ทุกภาคส่วนมีความจริงจัง ที่จะต้องทำให้สำเร็จ กล่าวคือต้องมีการประเมินผล เป็นช่วง ๆ เช่น 3 เดือน หรือ 6 เดือน หรือมีตัวชี้วัด เพื่อให้รู้ว่านโยบายนี้คืบหน้าแค่ไหน อย่างไร ซึ่งตนเองมั่นใจว่นโยบายนี้จะสำเร็จ อย่างแน่นอน โดยความร่วมมือของทุกภาคส่วนตามนโยบายของรัฐบาล“ นายคารม ย้ำ