Think In Truth
มหากาพย์'กัญชา'มหาภัยหรือยาวิเศษ ชาวโลก(ตอนที่ 2) โดย : ฅนข่าว2499
กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2517 รัฐบาลสหรัฐอเมริการู้ว่า “กัญชาสามารถรักษามะเร็งได้” แต่ก็เก็บเงียบเป็นความลับไม่ให้ประชาชนรู้เพราะมีกฎหมายว่ากัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ประชาชนเพิ่งได้รับทราบข่าวนี้ในอีก 26 ปีต่อมา เรื่องนี้จึงถูกจัดเป็นข่าวที่ถูกเซ็นเซอร์มากที่สุดแห่งทศวรรษ
มีรายงานว่า ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกันเมื่อปี 2554 พบว่าร้อยละ 50 เห็นด้วยที่จะให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย ในขณะที่เมื่อ 6 ปีก่อน มีผู้เห็นด้วยเพียง 36% เท่านั้น
ปัจจุบัน ในสหรัฐเมริกามีรัฐที่ถือว่ากัญชาเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมายมีทั้งหมด 16 รัฐ คือ สามารถเอาใช้ในทางการแพทย์ได้ ได้แก่ อลาสก้า,แคลิฟอร์เนีย. โคโลราโด, ฮาวาย, รัฐเมน, มิชิแกน, เนวาด้า, นิวเจอร์ซี่, นิวเม็กซิโก, โอเรกอน, โรดไอแลนด์, เวอร์มอนต์และมลรัฐวอชิงตัน
นอกจากนี้แล้วยังมีการคาดการณ์กันว่า รัฐโคโลราโดจะมีรายได้จากการเก็บภาษีธุรกิจยาที่ผลิตจากกัญชาปีละ 40 ล้านดอลลาร์
ปัจจุบัน จำนวนผู้ป่วยที่ได้ลงทะเบียนเพื่อขอรักษาด้วยกัญชาได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในหลายประเทศ เช่น อิสราเอล แคนาดา เนเธอร์แลนด์ ในรัฐมิชิแกน ของสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยมาลงทะเบียนถึงกว่า 1.3 แสนคน (ประมาณ 1.3% ของประชากรทั้งหมดของรัฐ) ถ้ารวมหมดทุกรัฐก็เกือบหนึ่งล้านคน
จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Harvard (Science Daily Apr. 17, 2007) จากการทดลองกับหนูที่ฉีดเซลล์มะเร็งปอดในคนเข้าไป กัญชาสามารถลดขนาดของเนื้องอกได้ 50% เมื่อเทียบกับหนูที่ไม่ได้ใช้กัญชา และสามารถลดความสามารถในการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังสามารถลดอาการบวมอักเสบได้ถึง 60% ทั้งนี้ ภายในเวลาเพียง 3 สัปดาห์เท่านั้น
เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา ทางการรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ได้ประกาศให้การเสพกัญชาเพื่อ “ความบันเทิง” ได้และกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย โดยเป็นรัฐที่ 7 ของสหรัฐที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการ โดยรัฐแมสซาชูเซตส์และรัฐเมนะตามมาภายหลังคือในปลายปี 2561
นอกจากนี้แล้วยังมีความพยายามอีก 29 รัฐที่ขออนุญาตใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ถึงแม้ว่ากฎหมายระดับประเทศ (Federal Law) ยังคงห้ามอยู่ก็ตามที
มีรายงานข่าว หลังกฎหมายใหม่นี้บังคับใช้ ร้านขายกัญชาที่มีใบอนุญาตในเมืองซานดิเอโกแทบทุกร้าน บรรยากาศคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนรอคิวซื้อกัญชามวนและอาหารที่ผสมกัญชา ตั้งแต่คนในวัยหนุ่มสาวยันวัยเกษียณ
ว่ากันว่า โดยเฉพาะรัฐแคลิฟอร์เนียที่เป็นรัฐแรกในอเมริกาที่อนุญาตให้มีการใช้กัญชาทางการ แพทย์อย่างถูกกฎหมายเมื่อ 22 ปีก่อน จากอดีตถึงปัจจุบันกลายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ที่มีตลาดซื้อขายกัญชาเพื่อการแพทย์สูงสุดในสหรัฐ
ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี 2014 รัฐโคโลราโด สร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการเป็นแห่งแรกของโลกที่ประชา ชนสามารถเสพกัญชาเพื่อความบันเทิง สูบ-กิน-ซื้อและปลูกได้ตามกฎหมาย นอกเหนือจากการใช้เพื่อการ แพทย์ โดยผ่านการลงมติเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ของพลเมืองในรัฐ
กรุงวอชิงตันดีซี ได้เป็นมลรัฐที่สองที่เปิดเสรีกัญชา ให้สามารถเสพเพื่อความบันเทิงได้ แต่ต้องแลกด้วยภาษีที่สูงมาก ทำให้ราคากัญชาในรัฐนี้แพงตามไปด้วยโดยมีข้อกำหนดการใช้กัญชาเพื่อความบันเทิง ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีขึ้นไป ต้องซื้อจากร้านที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย ห้ามเสพในที่สาธารณะ เช่น ร้านอาหาร หรือสวนสาธารณะ และต้องเสพห่างจากเขตโรงเรียน 300 เมตร โดยผู้ฝ่าฝืนจะถูกปรับครั้งแรก 100 ดอลลาร์ และจะสูงขึ้นในครั้งต่อไป และสามารถครอบครองได้ไม่เกิน 28.5 กรัม และปลูกได้ไม่เกิน 6 ต้นที่บ้าน และต้องปลูกโดยมิดชิด เนื่องจากยังผิดกฎ หมายระดับประเทศอยู่ขณะที่ผู้ที่เคยต้องโทษคดีกัญชา สามารถร้องขอให้ศาลกำหนดโทษให้ใหม่เพื่อล้มล้างโทษ และสามารถร้องขอให้ลบประวัติอาชญากรรมได้
กล่าวว่า กว่าที่จะมาถึงจุดนี้ ได้ในช่วงทศวรรษ 1970 อเมริกาก็เคยมีการปราบปรามการใช้กัญชาอย่างหนัก เมื่อการเสพกัญชาได้กลายเป็นแฟชั่นในหมู่นักศึกษา ชาวฮิปปี้ และคนรุ่นใหม่ยุค 1960 ขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกถือว่ากัญชาเป็นยาเสพติดที่มีโทษอาญา ต่อมาในยุค 1980 กระแสต่อต้านกัญชาในสหรัฐเริ่มเปลี่ยนแปลง หลังมีงานวิจัยทางการแพทย์รับรองถึงคุณประโยชน์ของกัญชา
ผลวิจัยล่าสุดจาก Gallup เปิดเผยว่าในปี 2017 กว่า 64% ของประชากรผู้ใหญ่ของอเมริกาสนับสนุนให้กัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย โดยมองว่ามีประโยชน์มากกว่าโทษ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากทศวรรษก่อนที่มีเพียง 36% เท่านั้นที่ให้การสนับสนุนทำให้ผลโหวตในรัฐแคลิฟอร์เนียกว่า 57% สนับสนุนให้การเสพกัญชาเพื่อความบันเทิงกลายเป็นเรื่องถูกกฎหมายในที่สุด
มีรายงานว่า ผลจาการปลดล็อกกัญชาดังกล่าว มีหลายสำนักได้คาดผลทางเศรษฐกิจ หลังรัฐแคลิฟอร์เนียอนุญาตเสพกัญชาเพื่อความบันเทิงจะมีเงินสะพัดกว่าเดิมหลายเท่า โดยนักวิเคราะห์ “กรีนเวฟ” คาดว่าจะมีเงินสะพัดในอุตสาหกรรมกัญชาในสหรัฐมากถึง 5,100 ล้านดอลลาร์ ในปี 2018 และจะให้ให้อุตสาห กรรมนี้เติบโตถุง 3 เท่าในช่วง 10 ปีข้างหน้า
ด้านบริษัทที่ปรึกษาอาร์ควิว เผยรายงานคาดว่า อุตสาหกรรมกัญชาถูกกฎหมายจะสร้างรายได้ กว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ และสร้างงานกว่า 400,000 ตำเเหน่งในสหรัฐภายในปี 2021 อีกทั้งรัฐบาลจะเก็บภาษีได้ 4,000 ล้านดอลลาร์ ภายใน 3 ปี
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสความนิยมอย่างพวยพุ่งแต่ก็ยังมีอุปสรรคที่ขวางการเติบโตของอุตสาห กรรมกัญชาในสหรัฐ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายหลังการผ่านกฎหมายนี้ โดยธนาคารไม่กล้าให้เงินทุนกับร้านจำหน่ายกัญชา เนื่องจากอาจกลายเป็นการมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมยาเสพติดผิดกฎหมายระดับประเทศหรือกฎหมายภาษี 280E ที่ระบุว่าธุรกิจค้ากัญชาไม่สามารถยื่นขอหักภาษีได้เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นที่มีสิทธิได้รับตามปกติ ทำให้ร้านค้าอาจจะต้องเสียภาษีเงินได้สูงถึง 90%
ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงเรียกร้องให้ธุรกิจกัญชา ได้รับการดูแลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งด้านความโปร่งใส การโฆษณาและการซื้อขาย กลายเป็นประเด็นสำคัญที่กดดันให้ “รัฐบาลกลางสหรัฐ” ต้องทบทวนสถานะของ “กัญชา” ในระดับประเทศครั้งใหญ่
นายเจฟฟ์เซสชันส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้ออกมาระบุเมื่อต้นเดือนมกราคม 2561 ว่า เขากำลังพยายามหยุดยั้งประกาศที่ออกมาในสมัยของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่ให้รัฐต่าง ๆ ทำให้การใช้กัญชาเป็นเรื่องถูกกฎหมายได้ และประกาศนี้เองที่ทำให้การใช้กัญชาขยายตัวขึ้นมากในสหรัฐฯ
แคนาดาเจ้าตำรับกัญชาพาณิชย์เจ้าใหญ่ของโลก
มีรายงานว่า หลังจากที่แคนนาดาได้มีการอนุญาตให้นำกัญชามาใช้รักษาโรคได้ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โดยพลเมืองวัยหนุ่มสาวกว่า 30 % ของแคนาดายอมรับว่าพวกเขาเคยเสพกัญชาเพื่อความบันเทิง
บรรดาบริษัทเอกชนสัญชาติแคนาดา ต่างแข่งขันเพื่อแย่งชิงตลาดผลิตและจำหน่ายกัญชาถูกกฎหมายรายใหญ่ของโลกและการผลักดันให้มีการปลูก ขาย และเสพกัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจอย่างถูกกฎหมายนั้น ก็เป็นหนึ่งในนโยบายที่ทำให้ “จัสตินทรูโด”ชนะเลือกตั้งขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดยหลังเข้ารับตำแหน่งเขาได้เสนอ พ.ร.บ.กัญชา (Cannabis Act) เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา
คานาปี โกรว์ธคอร์ป ผู้ผลิตกัญชารายใหญ่ซึ่งมีมูลค่าหุ้นในตลาดที่ 1,240 ล้านดอลลาร์ พื้นที่ปลูกในโรงเรือนแบบปิดรวมกว่ากว่า 350,000 ตารางฟุต
นอกจากนี้แล้ว บริษัท “ออโรร่า แคนนาบิส อิงค์” ผู้ผลิตกัญชาสัญชาติแคนาดาทีก็ได้สร้างโรงเรือนใหม่ใหญ่ถึง 800,000 ตารางฟุต ที่จะมีกำลังผลิตกว่า 100 ตันต่อปี นับว่าเป็นพื้นที่ปลูกกัญชาเชิงพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก รองรับพ.ร.บ.กัญชาใหม่ของแคนาดา
ทั้งนี้ สถิติจากสำนักงบประมาณรัฐสภาแคนาดา ระบุว่า ปัจจุบันราคาจำหน่ายกัญชาแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่นในเมืองควิเบค ราคากรัมละ 7.31ดอลลาร์ แคนาดา ขณะที่ในเมืองอื่นๆทางตอนเหนือของประ เทศราคาจำหน่ายกรัมละ 13.17 ดอลลาร์แคนาดา
สำนักวิเคราะห์หลายแห่ง คาดการณ์ว่า เมื่อ พ.ร.บ.กัญชามีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ รัฐบาลแคนาดาอจะมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีกัญชาเพิ่มขึ้น สูงสุดถึงปีละ 5,000 ล้านดอลลาร์แคนาดา แต่บางสำนักก็คาดว่าอาจเก็บได้เพียงราว 600 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
มีรายงานเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาศาลสูงของแคนาดา พิพากษาล้มล้างกฎของรัฐบาลท้องถิ่นแวนคูเวอร์ ที่ห้ามไม่ให้ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้กัญชาด้วยเหตุผลทางการแพทย์ ปลูกกัญชาบริโภคเองในครัวเรือน โดยศาลย้ำว่าคำตัดสินนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงกฎหมายของประเทศ ที่ยังไม่อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปใช้กัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจได้ แต่เป็นเพียงการอนุญาตให้ผู้ที่สามารถใช้กัญชาได้ตามที่กฎหมายเดิมระบุไว้อยู่แล้ว สามารถปลูกกัญชาเพื่อบริโภคเองได้
ย้อนไปเมื่อครั้ง นายจัสตินทรูโด เป็นนายกรัฐ มนตรีแคนาดา เขาได้พยายามผลักดันให้มีการใช้กัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจได้อย่างถูกกฎหมายทั่วประเทศ โดยรัฐบาลได้ศึกษาตัวอย่างจากมลรัฐโคโลราโดของสหรัฐ ที่อนุญาตให้ประชาชนบริโภคกัญชาได้อย่างถูกกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2012
นอกจากนี้แล้วที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดายังได้มีการติดตั้งตู้กดกัญชาอัตโนมัติ ซึ่งมันเป็นกัญชาเพื่อการแพทย์มาจัดจำหน่ายให้กับประชาชน อีกทั้งเจ้าตู้นี้ยังได้ชื่อว่าเป็น ตู้กดกัญชาอัตโนมัติ ตู้แรกในประเทศแคนาดาเลยอีกด้วย
Chuck Varabioff แห่งสมาคม BC Pain Society ได้กล่าวว่า เราได้จัดตั้งตู้นี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันปัญหาการโจรกรรม และปัญหาการจัดการอื่นๆ อีกมากมาย อีกทั้งเขายังเสริมอีกว่า ในบรรจุภัณฑ์นั้นจะถูกห่ออย่างดี ซึ่งมันสดใหม่ รวดเร็วและใช้งานง่าย ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 1 นาทีในการซื้อด้วยซ้ำไป
ทั้งนี้ ในตู้กดกัญชาอัตโนมัติจะบรรจุประเภทของกัญชาเอาไว้อย่างหลายประเภท ซึ่งมากกว่า 8 ประเภท โดยในแต่บรรจุภัณฑ์ จะมีขนาด 1 ออนซ์ และรับแต่เงินสดเท่านั้น ซึ่งสมาคม BC Pain Society จะมีการดูใบสั่งแพทย์เพื่อดูอาการของผู้ที่เข้ามาซื้อก่อนเสมอเพื่อความปลอดภัยไม่ให้เครื่องขายกัญชา กับคนที่มีจุดประสงค์ซื้อไปทำอย่างอื่นนั่นเอง
Chuck Varabioffยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ผลตอบรับของลูกค้าออกมาในระดับที่ดีมาก และลูกค้าประจำที่เขาต้องการซื้อในเวลาที่เร่งด่วนต่างก็สามารถจัดการซื้อได้ภายในเวลาอันสั้น อีกทั้งทาง BC Pain Society ยังไม่ทำบนทึกการซื้อกัญชาของลูกค้าอีกด้วย ผลตอบรับมันจึงออกมาในระดับที่ประทับใจนั่นเอง
เนเธอร์เเลนด์ใช้กัญชากระตุ้นการท่องเที่ยว
เนเธอร์แลนด์ ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่อนุญาตให้มีการสูบกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย โดยมีร้านไว้สูบกัญชาแบ่งแยกชัดเจน สามารถหาซื้อทั่วไป แต่ยังไม่อนุญาตให้ผลิตและปลูกได้
นอจากนี้แล้ว เนเธอร์แลนด์ยังนับว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีชื่อเสียงด้านการเสพกัญชาถูกกฎหมาย และนำมาเป็นแม็กเนตดึงดูดนักท่องเที่ยว ช่วยผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศให้เติบโต ขณะที่ประชาชนมีความคิดเห็นที่ดีต่อกัญชา โดยมองว่ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่และสุรา
ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า 23 % ของนักท่อง เที่ยวที่มาเยือนอัมสเตอร์ดัมส์ ต้องการใช้บริการร้านกาแฟ ที่อนุญาตให้บุคคลที่อายุมากกว่า 18 ปีสูบกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย อีกทั้งยังสามารถซื้อกัญชาได้สูงสุด 5 กรัม โดยร้านกาแฟประเภทนี้ มีประมาณ 220 ร้าน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในย่านแหล่งบันเทิง
อุรุกวัยดินเเดนยาเสพติด
อุรุกวัย นับว่าเป็นดินเเดนเเห่งกัญชาที่เสรีที่สุดแห่งลาตินอเมริกา เป็นประเทศทางผ่านที่ประเทศใกล้ เคียงมักเป็นเส้นทางลำเลียงส่งทั้งกัญชาและโคเคน
ดังนั้น รัฐบาลอุรุกวัย จึงมีแนวคิดที่จะทำให้มีการปลูกกัญชาอย่างถูกกฎหมาย เพื่อลดปริมาณการลักลอบส่งสินค้าให้กลายมาเป็นการสร้างรายได้ให้รัฐบาลและประเทศได้ อีกทั้งรัฐบาลยังสามารถควบคุมปริมาณและคุณภาพ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้กัญชาที่คุณภาพดีกว่าด้วย
สำนักข่าว ‘บีบีซี’ รายงานข่าว กรณีที่ อุรุกวัยกลายเป็นประเทศแรกของโลก ที่ประชาชนสามารถเพาะปลูก หรือครอบครองกัญชาเพื่อใช้ส่วนตัวได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายโดยรัฐบาลได้ผ่าน กฏหมายอนุญาตให้มีการลงทะเบียนเพื่อปลูก เสพและแบ่งขายกัญชาได้ โดยจำกัดการปลูกสำหรับกลุ่มที่จดทะเบียนได้ไม่เกินกลุ่มละ 99 ต้น
ต่อมารัฐบาลได้ประกาศมาตรการผ่อนปรนอีกขั้น ด้วยการออกใบอนุญาตให้บริษัท 2 แห่งประกอบธุรกิจปลูกและขายกัญชาได้ ซึ่งฝ่ายที่สนับสนุนให้การตอบรับเป็นอย่างดีผู้ที่สนับสนุนมาตรการดังกล่าวของทางรัฐบาลอุรุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิจัยที่ต้องการให้นำเอากัญชา มาใช้เพื่อการพัฒนาในทางการแพทย์
มีรายงานว่า เมื่อเดือนกกรกฏาคม 2017 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้อนุญาตให้มีการขายกัญชาเพื่อสันทนาการตามร้านขายยาได้อย่างถูกกฎหมายเป็นชาติแรกในโลก หลังผ่านกฎหมายเสพกัญชาอย่างถูกฎหมายมาตั้งเเต่ปี 2013
โดยคุณสมบัติผู้ที่สามารถซื้อกัญชาตามร้านขายยาที่ได้รับอนุญาต จะต้องเป็นพลเมืองอุรุกวัย หรือบุคคลมีสิทธิพำนักอาศัยถาวร อายุ 18 ปีขึ้นไป พร้อมลงทะเบียนกับรัฐเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งจะสามารถซื้อกัญชาได้สูงสุด 40 กรัมต่อเดือน ราคากรัมละ 1.30 ดอลลาร์สหรัฐ โดยกัญชาจะต้องมาจากไร่ที่รัฐกำกับดูแล นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ผู้ใช้ปลูกกัญชาเองที่บ้านได้ปีละ 6 ต้น และอนุญาตให้ตั้งสมาคมผู้สูบกัญชา 15-45 คน ซึ่งจะปลูกกัญชาได้ปีละ 99 ต้น
สำหรับอุรุกวัย ถือว่าเป็นประเทศที่มีอัตราเหตุรุนแรงเกี่ยวกับยาเสพติดน้อย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในละตินอเมริกา แต่ผู้ต้องขังราว 1 ใน 3 ล้วนพัวพันการค้ายาเสพติด เพราะอุรุกวัยกลายเป็นเส้นทางลำเลียงกัญชาจากปารากวัยและโคเคนจากโบลิเวีย
จากผลสำรวจผู้ใหญ่จำนวน 9,000 คนจาก 9 ประเทศในภูมิภาคนี้อย่าง อาร์เจนตินา , โบลิเวีย, ชิลี ,โคลัมเบีย ,คอสตาริกา , เอลซัลวาดอร์ ,เม็กซิโก ,เปรู เเละอุรุกวัย พบว่ากว่า 40 % เห็นด้วยกับเรื่องกัญชาถูกกฎหมาย
ทั้งนี้ โดยประชาชนในอุรุกวัย ผู้บุกเบิกตลาดกัญชาถูกกฎหมาย เห็นด้วย 68% ตามมาด้วยเม็กซิโก 57% คอสตาริกาที่ 55% อย่างไรก็ตาม การยอมรับการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการยังแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
ออสเตรเลียผู้ส่งออกกัญชาเพื่อการเเพทย์
ก่อนหน้านี้ ออสเตรเลีย ได้ประกาศแผนตั้งเป้าเป็นผู้นำการส่งออกกัญชาเพื่อการแพทย์เบอร์หนึ่งของโลก หวังส่งขายทำเงินต่างประเทศ เหมือนแคนาดาและเนเธอร์แลนด์ ขณะที่อุรุกวัยและอิสราเอลก็เคยประกาศแผนส่งออกตีตลาดกัญชาเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ ในช่วงต้นปี 2560 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีสาธารณสุขของออสเตรเลีย เคยกล่าวว่า รัฐบาลตั้งเป้าหมายผลักดันให้เกษตรกรและผู้ผลิตออสเตรเลีย เป็นผู้ส่งออกกัญชาเพื่อการแพทย์อันดับ 1 ของโลก และนโยบายนี้จะเป็นผลดีต่อทั้งภาคธุรกิจและช่วยเหลือผู้ป่วยภายในประเทศด้วย
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงกฎหมายดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับการรับรองจากรัฐสภาก่อน ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นได้เร็วสุดในเดือนกุมภาพันธ์ โดยพรรคแรงงานที่เป็นฝ่ายค้านก็แสดงท่าทีสนับสนุนเรื่องนี้
ออสเตรเลีย กำหนดให้การใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ถูกกฎหมาย มาตั้งแต่ปี 2016 ส่วนการใช้กัญชาเพื่อความบันเทิงยังเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ จากการประเมินของแกรนด์วิวรีเสิร์ช (Grand View Research) บริษัทที่ปรึกษาของสหรัฐ ระบุว่า ตลาดกัญชาเพื่อการแพทย์ทั่วโลกอาจมีมูลค่าสูงถึง 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.9 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2025
หมายเหตุ: ตอนต่อไปมาล้วงลึกว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันประเทศไทยได้นำกัญชามาใช้รักษาโรคอะไรบ้าง