In News

นายกฯได้แถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติหลายเรื่อง/ตอบสื่อหลายประเด็น



กรุงเทพฯ-นายกฯ เผย ครม.อนุมัติงบกว่า 433 ล้านบาท จัดกิจกรรมเสน่ห์ไทยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะเร่งด่วนในช่วงโลว์ซีซั่น พร้อมรับหลักการวงเงินกว่า 170 ล้านบาทแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานจังหวัดกาฬสินธุ์และราชบุรี เตรียมจัด ครม.สัญจร วันที่ 19-20 สิงหาคมนี้ ที่ จ.อยุธยา  ย้ำ ระบบยุติธรรมไทยมีความเป็นกลางและสากล เป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่าย เชื่อคดียุบพรรคทุกฝ่ายยอมรับคำตัดสินของศาล ไม่กังวลจะมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น หลังศาลตัดสิน ​และเผยถึง“พล.อ.ประยุทธ์” ร่วมงานศพมารดาในนามส่วนตัว มาแสดงความเสียใจ ย้ำ พร้อมรับฟังคำแนะนำจากนายกฯ รองนายกฯ ทุกคน ก่อนหน้านี้นายกฯ แถลงเหตุผลต่อวุฒิสภา ยืนยัน งบประมาณโครงการ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ย้ำ จะดำเนินการให้เป็นไปตามวินัยการเงินการคลัง และใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

วันนี้ (6 ส.ค.67) เวลา 12.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอขอจำหน่ายหนี้สูญตามโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร ด้วยการจำหน่ายหนี้สูญตามโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรด้วยการจำหน่ายหนี้เป็นสูญในกองทุนหรือเงินทุนในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของสหกรณ์ประมงเกาะ ลันตา จำกัด จำนวน 5.93 ล้านบาท  เนื่องจากต้นปี 2539  ได้เกิดโรคระบาดในการเลี้ยงกุ้งอย่างรุนแรง ทำให้กุ้งตายทั้งบ่อ ซึ่งสหกรณ์ดังกล่าวไม่มีเงินมาชำระหนี้ ทำให้หยุดดำเนินการไป ดังนั้นคณะรัฐมนตรีจึงต้องดำเนินการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ 

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบหลักการการตรวจราชการของนายกรัฐมนตรีในจังหวัดกาฬสินธุ์และราชบุรี เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ 7 โครงการ วงเงิน  170.92 ล้านบาท เช่น โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้มีความปลอดภัยรองรับการท่องเที่ยว การพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มพื้นที่ชลประทานสามารถนำน้ำมาใช้ประโยชน์ได้ 

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรียังรับทราบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยวระยะเร่งด่วน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยใช้งบกลางจำนวน 433.199 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการท่องเที่ยวในแพลตฟอร์มออนไลน์และโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัด ด้วยการจัดกิจกรรมมหกรรมเสน่ห์ไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบ และมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการต่อไป เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยอาศัยกลไกการท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่น จึงขอให้ ททท. ร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเมืองหลักและเมืองน่าเที่ยว ก่อนถึงช่วงไฮซีซั่นในเดือนพฤศจิกายนนี้ ย้ำว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนต้องสั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และผู้ว่าฯ ททท.เร่งดำเนินการโครงการต่าง ๆ ก่อนถึงช่วงไฮซีซั่น 

นายกรัฐมนตรีระบุว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติการด้านยาเสพติดทั่วประเทศจากหน่วยงานต่าง ๆ ในปีงบประมาณ 2567 ไม่เกิน 13,047 อัตรา โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 85.7 ล้านบาท เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุ่มเทและเสียสละในการปฏิบัติหน้าที่ และส่งเสริมให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดมีแรงจูงใจ และตั้งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ สอดคล้องกับวาระแห่งชาติของรัฐบาลที่จะขจัดยาเสพติดออกไป 

พร้อมกันนี้ คณะรัฐมนตรียังอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะหรือจัดให้มีอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในแอร์กราวน์ในสถานที่ยานพาหนะและบริการการขนส่งเพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ เช่น การเพิ่มสัญญาณเสียง และสัญญาณไฟ ในการแจ้งชื่อสถานีขนส่งการปรับปรุงลักษณะอุปกรณ์ในการเดินทางอำนวยความสะดวกและบริการให้กับผู้พิการ ซึ่งได้สั่งการในที่ประชุมเพิ่มเติมว่า  ให้กระทรวงคมนาคมกำหนดระยะเวลาที่จะดำเนินโครงการให้เสร็จสิ้นในทุกมิติของการเดินทาง ทั้งทางน้ำ ทางบก ทางราง และสั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กำกับดูแลว่าจะต้องเป็นไปตามระยะเวลา 

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า คณะรัฐมนตรี รับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสาธารณสุขภาพรวมระยะเวลา 10 ปี เพื่อเร่งผลิตและพัฒนากำลังคนให้เพียงพอต่อการดูแลด้านสาธารณสุข ทั้งพยาบาลและหลักสูตรพยาบาลศาสตร์ และเพิ่มผลิตผู้ช่วยพยาบาล และมีการเพิ่มค่าตอบแทนข้าราชการในอัตราที่เหมาะสม 

และคณะรัฐมนตรี ยังรับทราบการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งที่ 5/2567 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมติดตามการตรวจราชการกลุ่มภาคกลางตอนบน จังหวัดชัยนาท อยุธยา สิงห์บุรี สระบุรี และอ่างทอง ระหว่างวันที่ 19 - 20 สิงหาคมนี้ 

​นายกฯ ย้ำ ระบบยุติธรรมไทยมีความเป็นกลางและสากล 

 นายเศรษฐา  ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ได้เชิญทูต 18 ประเทศมาร่วมสังเกตการณ์คดียุบพรรคก้าวไกล หลายฝ่ายกังวลว่าจะเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทยหรือไม่ ว่า ตนเองไม่ทราบว่ามีการพูดคุยกันหรือไม่ และไม่ทราบเนื้อหาในการพูดคุยกัน แต่เรื่องกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ใน 18 ประเทศ เรื่องระบบยุติธรรมและฝ่ายบริหารแยกกันชัดเจน ฝ่ายบริหารก็ไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว และกระบวนการยุติธรรมประเทศไทยมีความเป็นกลางและสากล ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนเองพูดแทนคนอื่นไม่ได้ แต่ส่วนตัวเคารพในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งกรณีของตนเองที่เป็นนายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน แต่เมื่อมีประเด็น เรื่องร้องเรียนก็เป็นหน้าที่ที่ต้องแจ้งไปที่ระบบยุติธรรมและคอยการตัดสิน “ของผมเอง อย่างที่บอกยื่นไปเรียบร้อยแล้ว คอยวันตัดสินวันที่ 14 ส.ค. ผมก็ไม่ได้มีการไปคุยกับใครทั้งสิ้น ประเทศเราก็เป็นเอกราช แต่ก็ต้องให้เกียรติเหมือนกัน เพราะไม่ทราบรายละเอียดสนทนาพูดคุยมีอะไรบ้าง” นายกฯ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถาม มีความกังวลในเนื้อหาจากกระทรวงต่างประเทศส่งไปยังสหประชาชาติ เรื่องคดียุบพรรค พอแปลเป็นเนื้อความภาษาไทยมีข้อความค่อนข้างรุนแรงนั้น  นายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกัน ในเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศมีการชี้แจงไปยังสหประชาชาติ ส่วนการแปลให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงดีกว่าว่าแปลอะไร แต่จุดยืนจริง ๆ ของเรา ไม่ยอมให้ก้าวก่ายในระบบตุลาการ และไม่ยอมให้ใครมาก้าวก่าย ซึ่งกระทรวงต่างประเทศจะมีการแถลงบ่ายนี้

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า การตัดสินคดียุบพรรคก้าวไกล มีการพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงหรือไม่ เกี่ยวกับเหตุการณ์วันพรุ่งนี้ นายกฯ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกกังวลกับเหตุการณ์พรุ่งนี้ และมั่นใจว่าทุกคนตั้งอยู่ในความสงบและยอมรับคำตัดสินของกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว

​นายกฯ เผย “พล.อ.ประยุทธ์” ร่วมงานศพมารดาในนามส่วนตัว 

นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงการที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ไปเป็นประธานในพิธีสวดพระอภิธรรมศพมารดาของนายกรัฐมนตรีว่าเหมาะสมหรือไม่เนื่องจากสถานะไม่เหมือนเดิมว่า ท่านไปในฐานะส่วนตัวและตนก็ได้พบปะกับท่านในหลายโอกาส ซึ่งตนได้สูญเสียมารดา ท่านก็มาให้กำลังใจ และในวันนั้นท่านได้เจอกับคนที่คุ้นเคยในสมัยที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีมา 8 ปี ซึ่งเรื่องนี้ คิดว่าทุกคนมีข้อคิดเห็นของแต่ละคน คงคิดได้เองอยู่แล้ว

ผู้สื่อถามว่า แม้เป็นการส่วนตัว แต่ดูเหมือนนายกฯ จะฟังคำแนะนำจากแค่ พลเอก ประยุทธ์ และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แค่ 2 คนนี้ จะมีการบาลานซ์อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า  ไม่จริง ตนเองเจอท่านอานันต์ ปัญญารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีก็รับฟัง และไม่ได้รับฟังแค่ระดับนายกฯ อย่างเดียว รองนายกฯ หรืออดีตรัฐมนตรีต่าง ๆ ก็เจอ เช่นนาย กรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตนเองก็เจอ ซึ่งมองว่าแล้วแต่โอกาสมากกว่า

ผู้สื่อข่าวต่อว่า มีการมองท่าทีของนายกฯ ในระยะหลังๆ มีการตีตัวออกห่างจากนายทักษิณ หรือไม่นั้น นายกฯ กล่าวว่า ตนเองไม่ได้ตีตัวออกห่างใครทั้งนั้น เพราะทำงานอย่างเดียว แต่ถ้าการทำงานและไม่สามารถไปพบบางท่านได้ ก็เชื่อว่าทุกท่านคงเข้าใจว่าผมมีหน้าที่นายกฯ ที่ต้องทำงานอยู่แล้วและลงพื้นที่ตลอด ทุกคนก็เห็นวันเสาร์ก็ยังทำงานอยู่

ส่วนในเดือนสิงหาคม มีคดีต่าง ๆ ทางการเมืองมีการเช็คกระแสหรือไม่ว่า จะส่งผลกระทบนักลงทุนเรื่องความเชื่อมั่นหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ได้มีการเช็คกระแสใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าเรื่องปัญหาของประชาชนเป็นเรื่องใหญ่และตนเองใช้เวลาส่วนมากเกือบทั้งหมดเลยก็ว่าได้ ในการแก้ปัญหาอยู่ ส่วนกระแสจะออกมาอย่างไรก็แล้วแต่ ซึ่งในเดือนสิงหาคมมีอีเว้นท์หลายเรื่อง ทั้งวันที่ 7 สิงหาคมและ 14 สิงหาคมนี้ แน่นอนก็เป็นธรรมดาที่นักลงทุนก็ต้องกังวล

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า เมื่อช่วงเช้าก็ได้มีการดูและเช็คตลาดหุ้นพบว่าขยับขึ้นมา เชื่อว่าน่าจะควบคุมได้ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นก็ตกลงมามากเป็นประวัติศาสตร์ วันนี้ก็ขยับขึ้นมาแล้ว โดยเข้าใจว่าขยับขึ้นมาถึง 10% แล้ว และเข้าใจว่าเรื่องดังกล่าวเป็นแพนิคเซลล์  โดยเชื่อว่าทางด้านประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่แล้ว ทั้งนี้ ในเรื่องของแอปพลิเคชันจีนที่เข้ามาได้มีการสั่งการกระทรวงพาณิชย์ และกรมสรรพากรในด้านการจดทะเบียนต่าง ๆ ให้เรียบร้อย

นายกฯ แถลงเหตุผลต่อวุฒิสภา ยืนยัน งบประมาณโครงการ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต

วันนี้ (6 ก.ค. 67) เวลา 10:00 น. ณ อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงต่อที่ประชุมวุฒิสภา (สว.) ในวาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จำนวน 1.22 แสนล้านบาท  

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการดำรงชีพ สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชน และภาคธุรกิจ ควบคู่กับการรักษาระดับการบริโภค และการลงทุนในประเทศ รวมถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศผ่านโครงการเติมเงินหนึ่งหมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต อันเป็นกรณีที่ต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน โดยไม่สามารถรองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ได้ จึงต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม จำนวนไม่เกิน 1.22 แสนล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ สำหรับประมาณการเงินที่พึงได้มาสำหรับจ่ายตามร่าง พ.ร.บ.รายจ่ายเพิ่มเติมงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีดังนี้ คือ 
1. ภาษีและรายได้อื่น โดยเป็นแหล่งเงินจากการจัดเก็บรายได้ที่เดิมไม่ได้กำหนดไว้ในประมาณการ จำนวน 1 หมื่นล้านบาท
2. เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 1.12 แสนล้านบาท

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ร่าง พ.ร.บ.รายจ่ายเพิ่มเติมงบประมาณ พ.ศ. 2567 เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ต่าง ๆ และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชน และภาคธุรกิจ โดยภาวะเศรษฐกิจในปี 2567 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.0-3.0 มีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่าย และการลงทุนภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และภาคบริการที่เกี่ยวเนื่อง การขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศทั้งการอุปโภค บริโภค การลงทุน และการกลับมาขยายตัวอย่างช้าๆ ของการส่งออกสินค้าตามการฟื้นตัวของการค้าโลก อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัด และปัจจัยเสี่ยงจากภาระหนี้ ภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตภาคการเกษตร ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการเงินโลกที่อยู่ในเกณฑ์สูง และมีแนวโน้มผันผวนมากขึ้น สำหรับอัตราเงินเฟ้อ คาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 0.1-1.1 และดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลร้อยละ 1.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า นโยบายการคลังและความสัมพันธ์ระหว่างรายรับและงบประมาณรายจ่ายที่ขอตั้งภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจดังกล่าว รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่อง โดยประมาณการจัดเก็บรายได้จากส่วนราชการอื่นรวมทั้งสิ้น 1.22 แสนล้านบาท เท่ากับวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม การจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล จึงมีความสำคัญและจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า ให้เติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเม็ดเงินจำนวนมากจะไหลจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชน ก่อให้เกิดการสั่งซื้อสินค้า การบริการ และหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง 

ขณะที่ฐานะการคลัง มีหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 มีจำนวน 11.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 63.78 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่กำหนดไว้ต้องไม่เกินร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ปัจจุบันฐานะเงินคงคลัง ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 มีจำนวน 3.9 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลจะบริหารเงินคงคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และบริหารรายรับและรายจ่ายของรัฐให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด 

ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี ในการประชุมเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีเหตุผลว่าเป็นอัตราที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อที่ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งเอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว  โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง และการเบิกจ่ายภาครัฐที่กลับมาเร่งขึ้นในไตรมาส 2 ของปี 2567 รวมถึงแรงกระตุ้นจากนโยบายภาครัฐในช่วงครึ่งหลังของปี แต่ยังคงต้องติดตามความท้าทายต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่ยังขยายตัวในระดับปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่อาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า สำหรับงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 เมื่อรวมกับกรอบวงเงินเดิมตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จำนวน 3.48 ล้านล้านบาท จะทำให้ปีงบประมาณ พ.ศ.2567 มีงบประมาณรายจ่ายรวม 3.60 ล้านล้านบาท แม้ว่างบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เมื่อรวมกับกรอบวงเงินเดิมตามพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จะมีการขาดดุลเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลได้จัดสรรรายจ่ายลงทุนไว้ในงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จำนวน 9.76 หมื่นล้านบาท เมื่อรวมกับรายจ่ายลงทุนตามพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จะทำให้มีรายจ่ายลงทุน จำนวน 8.07 แสนล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรายจ่ายลงทุนในปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ร้อยละ 17.1 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.4 ของวงเงินงบประมาณรวมการบริหารงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดนี้ 

นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การบริหารงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดนี้ จะเป็นการใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล และกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลจะดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ ใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด กระตุ้นเศรษฐกิจให้เม็ดเงินไหลไปสู่ประชาชน และภาคธุรกิจ สร้างการเจริญเติบโตให้กับประเทศพัฒนาศักยภาพอย่างยั่งยืน และเป็นไปตามกฎหมาย