Think In Truth

ความแตกต่างระเบียบวิธีทางพุทธศาสนา กับศาสตร์อื่น โดย: ฟอนต์ สีดำ



เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมได้พูดถึงระดับแห่งความเป็นทฤษฎีทางการแสวงหาความรู้ หรือ Philosophy of Science Theory ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว กระบวนการแสวงหาความรู้ในทางพระพุทธศาสนาไม่ควรจะอยู่ในระดับปรัชญาเท่านั้น หากแต่หลักในการแสวงหาความรู้ ความจริง และการสร้างปัญญาที่ถูกใช้และพิสูจน์ปรากฏการณ์เกี่ยวกับทั้งทางโลกและทางธรรมมาแล้ว มากกว่า 2500 ปี นั่นหมายความว่า เป็นที่ยอมรับในความเป็นสากล ดังนั้นกระบวนการแสวงหาความรู้ทางพุทธศาสนานั้น ควรต้องได้รับการยกระดับมาเป็นความเป็นสากลในทางการสร้างองค์ความรู้และปัญญา ซึ่ง สามารถศึกษาเปรียบได้กับกระบวนการแสวงหาความรู้ชั้นสูงที่ทางชนชาติตะวันตตกได้กำหนดวิธีการแสวงหาความรู้ออกได้ได้เหนือกว่า ดังนี้ี้

ระเบียบวิธีในการหาความรู้: พระพุทธศาสนา vs. วิทยาศาสตร์

พระพุทธศาสนา และ วิทยาศาสตร์ ต่างมีวิธีการแสวงหาความรู้ที่แตกต่างกัน แต่ก็มีจุดที่สัมพันธ์กันด้วย

พระพุทธศาสนา

  • เน้นประสบการณ์ตรง: การรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองผ่านการปฏิบัติธรรม การสังเกตจิตใจ และการพัฒนาสติปัญญา
  • วิธีการ: การทำสมาธิ การวิปัสสนา การศึกษาพระธรรมคำสั่งสอน โดยนำสิ่งที่เป็นประสบการณ์ทั้งทางรูปและนามมาผ่านกระบวนการตามหลักของไตรสิขา ที่มีกระบวนการคิดแบบอริยะสัจ ที่อยู่บนพื้นฐานอิทัปจจยตา หรือเหตุและปัจจัย ตามขั้นตอนและกระบวนการพิจารณาของปฏิจจสมุปบาท ที่มีความมุ่งมั่นไตร่ตรองอย่างละเอียด ในมาตรฐานของโยนิโสมนสิการ
  • เป้าหมาย: การดับทุกข์ การบรรลุธรรมสูงสุด นั่นคือการยอมรับองค์ความรู้ของสกาลอย่างดุษฎี หรือนิพพาน
  • ขอบเขต: ครอบคลุมทั้งโลกภายนอกและโลกภายใน (จิตใจ) หรือครอบคลุมทั้งรูปและนาม หรือเชิงปริมาณ และ คุณภาพ นั่นเอง

วิทยาศาสตร์

  • เน้นการสังเกต ทดลอง และพิสูจน์: ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการหาคำตอบ
  • วิธีการ: การตั้งสมมติฐาน การทดลอง การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ผล
  • เป้าหมาย: การค้นพบความจริงทางธรรมชาติ การอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ
  • ขอบเขต: มุ่งเน้นที่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สามารถวัดและพิสูจน์ได้

จุดที่เหมือนกัน

  • การแสวงหาความจริง: ทั้งสองกระบวนการต่างมุ่งเน้นการค้นหาความจริง
  • การใช้เหตุผล: ทั้งสองกระบวนการใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล
  • การสังเกต: ทั้งสองกระบวนการเริ่มต้นจากการสังเกตปรากฏการณ์

จุดที่แตกต่าง

  • วิธีการ: พระพุทธศาสนาเน้นการปฏิบัติภายในและภายนอกผสมสานกัน ขณะที่วิทยาศาสตร์เน้นการทดลองภายนอก
  • เป้าหมาย: พระพุทธศาสนามุ่งที่การพัฒนาจิตใจและวัตถุที่นำไปสู่ความสมดุล ขณะที่วิทยาศาสตร์มุ่งที่ความรู้ทางวัตถุ
  • ขอบเขต: พระพุทธศาสนามีขอบเขตที่กว้างกว่า ครอบคลุมทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและปรากฏการณ์ทางกายและจิต

สรุป: ทั้งพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์เป็นวิธีการแสวงหาความรู้ที่แตกต่างกัน แต่ก็สามารถเสริมซึ่งกันและกันได้ การนำหลักการของทั้งสองมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้เราเข้าใจโลกและตัวเราได้ดียิ่งขึ้น

ระเบียบวิธีทางพุทธศาสนาเทียบกับระเบียบวิธีทางการวิจัย: ความแตกต่างและความเชื่อมโยง

ระเบียบวิธีทางพุทธศาสนา และ ระเบียบวิธีทางการวิจัย ถือเป็นสองแนวทางในการแสวงหาความรู้ที่แตกต่างกัน แต่ก็มีความเชื่อมโยงกันในบางแง่มุม

ระเบียบวิธีทางพุทธศาสนา

  • เน้นประสบการณ์ตรง: การรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองผ่านการปฏิบัติธรรม การสังเกตจิตใจ และการพัฒนาสติปัญญา
  • วิธีการ: การทำสมาธิ การวิปัสสนา การศึกษาพระธรรมคำสั่งสอน โดยนำสิ่งที่เป็นประสบการณ์ทั้งทางรูปและนามมาผ่านกระบวนการตามหลักของไตรสิขา ที่มีกระบวนการคิดแบบอริยะสัจ ที่อยู่บนพื้นฐานอิทัปจจยตา หรือเหตุและปัจจัย ตามขั้นตอนและกระบวนการพิจารณาของปฏิจจสมุปบาท ที่มีความมุ่งมั่นไตร่ตรองอย่างละเอียด ในมาตรฐานของโยนิโสมนสิการ
  • เป้าหมาย: การดับทุกข์ การบรรลุธรรมสูงสุด สร้างปัญญา และ ยุติข้อสงสัยในทุกประเด็น หรือที่เรียกว่านิพพาน
  • ขอบเขต: ครอบคลุมทั้งโลกภายนอกและโลกภายใน (จิตใจ)

ระเบียบวิธีทางการวิจัย

  • เน้นการสังเกต ทดลอง และพิสูจน์: ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการหาคำตอบ
  • วิธีการ: การตั้งสมมติฐาน การทดลอง การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ผล
  • เป้าหมาย: การค้นพบความจริงทางธรรมชาติ การอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ
  • ขอบเขต: มุ่งเน้นที่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สามารถวัดและพิสูจน์ได้

ความแตกต่างและความเชื่อมโยง

ลักษณะ

ระเบียบวิธีทางพุทธศาสนา

ระเบียบวิธีทางการวิจัย

จุดมุ่งหมายหลัก

การบรรลุธรรมสูงสุด ดับทุกข์ นิพพาน

การค้นพบความจริงทางธรรมชาติ

วิธีการหลัก

การปฏิบัติธรรม การศึกษาพระธรรม

การทดลอง การวิเคราะห์ข้อมูล

ขอบเขต

ครอบคลุมทั้งโลกภายนอกและภายใน

มุ่งเน้นโลกภายนอกที่สามารถวัดได้

หลักฐาน

ประสบการณ์ภายใน ความเชื่อ

ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่สามารถตรวจสอบได้

ความเป็นสากล

อาจแตกต่างกันไปตามนิกายและบุคคล

มีหลักการที่เป็นสากล

ถึงแม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ทั้งสองวิธีก็มีจุดร่วมกันคือการแสวงหาความจริง โดยพระพุทธศาสนาเน้นการค้นหาความจริงภายในจิตใจ ในขณะที่การวิจัยเน้นการค้นหาความจริงภายนอก

การนำระเบียบวิธีทั้งสองมาประยุกต์ใช้ร่วมกัน สามารถสร้างประโยชน์ได้หลายด้าน เช่น

  • การศึกษาพระพุทธศาสนาเชิงวิชาการ: การนำวิธีการวิจัยมาใช้ในการศึกษาพระคัมภีร์ หรือการศึกษาพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติธรรม
  • การพัฒนาวิธีการปฏิบัติธรรม: การนำหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนประสิทธิผลของการปฏิบัติธรรม
  • การสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น: การผสมผสานทั้งสองวิธีจะช่วยให้เราเข้าใจทั้งโลกภายนอกและภายในได้อย่างรอบด้าน

สรุป: ทั้งระเบียบวิธีทางพุทธศาสนาและระเบียบวิธีทางการวิจัยเป็นเครื่องมือที่ทรงคุณค่าในการแสวงหาความรู้ การเลือกใช้วิธีการใดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และบริบทของการศึกษา

ระเบียบวิธีทางพุทธศาสนาทางรูป เปรียบเทียบกับระเบียบวิธีทางการวิจัยเชิงปริมาณ

ระเบียบวิธีทางพุทธศาสนาทางรูป และ ระเบียบวิธีทางการวิจัยเชิงปริมาณ เป็นวิธีการแสวงหาความรู้ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าทั้งสองวิธีจะมีจุดมุ่งหมายในการค้นหาความจริงก็ตาม

ระเบียบวิธีทางพุทธศาสนาทางรูป

  • เน้นการศึกษาธรรมชาติของรูปธรรม: หมายถึงการศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆ ที่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส เช่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ต่างๆ
  • วิธีการ: การใช้ปฏิสัมผนากับสิ่งแวดล้อม การสังเกต การวิเคราะห์ และการเปรียบเทียบ
  • เป้าหมาย: เพื่อเข้าใจธรรมชาติของสิ่งต่างๆ และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ เพื่อนำไปสู่การดับทุกข์
  • ขอบเขต: มุ่งเน้นไปที่การศึกษาสิ่งที่มีรูปธรรม และสามารถสังเกตได้ด้วยประสาทสัมผัส

ระเบียบวิธีทางการวิจัยเชิงปริมาณ

  • เน้นการวัดและหาปริมาณ: โดยใช้ตัวเลขและสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล
  • วิธีการ: การเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ การวิเคราะห์ทางสถิติ การทดลอง
  • เป้าหมาย: เพื่อหาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างตัวแปรต่างๆ และสร้างทฤษฎีที่สามารถนำไป generalise ได้
  • ขอบเขต: มุ่งเน้นไปที่การศึกษาปรากฏการณ์ที่สามารถวัดและนำมาแสดงเป็นตัวเลขได้

ความแตกต่างที่สำคัญ

ลักษณะ

ระเบียบวิธีทางพุทธศาสนาทางรูป

ระเบียบวิธีทางการวิจัยเชิงปริมาณ

จุดมุ่งหมาย

เข้าใจธรรมชาติของสิ่งต่างๆ เพื่อดับทุกข์ นิพพาน

หาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและสร้างทฤษฎี

วิธีการ

การสังเกต การวิเคราะห์ การเปรียบเทียบ

การวัด การทดลอง การวิเคราะห์ทางสถิติ

ข้อมูล

ข้อมูลที่ได้จากประสาทสัมผัส

ข้อมูลเชิงปริมาณที่สามารถวัดได้

ขอบเขต

สิ่งที่มีรูปธรรม

ปรากฏการณ์ที่สามารถวัดและนำมาแสดงเป็นตัวเลขได้

สรุป:

  • ระเบียบวิธีทางพุทธศาสนาทางรูป เป็นวิธีการศึกษาที่เน้นการเข้าใจธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ผ่านประสบการณ์ตรง โดยไม่มีการใช้ตัวเลขหรือสถิติเข้ามาเกี่ยวข้อง
  • ระเบียบวิธีทางการวิจัยเชิงปริมาณ เป็นวิธีการศึกษาที่เน้นการวัดและหาปริมาณ โดยใช้ตัวเลขและสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและสามารถนำไป generalise ได้

ทั้งสองวิธีมีจุดมุ่งหมายและวิธีการที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การนำมาเปรียบเทียบกันจึงอาจไม่เหมาะสมนัก อย่างไรก็ตาม การศึกษาเปรียบเทียบนี้จะช่วยให้เราเข้าใจความหลากหลายของวิธีการแสวงหาความรู้ได้ดียิ่งขึ้น

ระเบียบวิธีพุทธศาสนาทางนาม เปรียบเทียบกับระเบียบวิธีทางการวิจัยเชิงคุณภาพ

ระเบียบวิธีพุทธศาสนาทางนาม และ ระเบียบวิธีทางการวิจัยเชิงคุณภาพ ถือเป็นสองแนวทางในการแสวงหาความรู้ที่แตกต่างกัน แต่ก็มีความเชื่อมโยงกันในบางแง่มุม

ระเบียบวิธีพุทธศาสนาทางนาม

  • เน้นการศึกษาธรรมชาติของนามธรรม: หมายถึงการศึกษาปรากฏการณ์ที่ไม่มีรูปร่าง เช่น จิตใจ ความคิด อารมณ์ และปรากฏการณ์ทางจิตวิญญาณอื่นๆ
  • วิธีการ: การทำสมาธิ การวิปัสสนา การศึกษาพระธรรมคำสั่งสอน โดยนำสิ่งที่เป็นประสบการณ์ทั้งทางรูปและนามมาผ่านกระบวนการตามหลักของไตรสิขา ที่มีกระบวนการคิดแบบอริยะสัจ ที่อยู่บนพื้นฐานอิทัปจจยตา หรือเหตุและปัจจัย ตามขั้นตอนและกระบวนการพิจารณาของปฏิจจสมุปบาท ที่มีความมุ่งมั่นไตร่ตรองอย่างละเอียด ในมาตรฐานของโยนิโสมนสิการ
  • เป้าหมาย: เพื่อเข้าใจธรรมชาติของจิตใจ และดับทุกข์
  • ขอบเขต: มุ่งเน้นไปที่การศึกษาสิ่งที่ไม่มีรูปธรรม และไม่สามารถสังเกตได้ด้วยประสาทสัมผัสโดยตรง

ระเบียบวิธีทางการวิจัยเชิงคุณภาพ

  • เน้นการเข้าใจความหมายและประสบการณ์: โดยการศึกษาปรากฏการณ์ในเชิงลึกและละเอียด
  • วิธีการ: การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตการณ์ การวิเคราะห์เนื้อหา
  • เป้าหมาย: เพื่อเข้าใจความหมายและประสบการณ์ของผู้คนในสถานการณ์ต่างๆ และสร้างทฤษฎีที่เป็นเชิงลึก
  • ขอบเขต: มุ่งเน้นไปที่การศึกษาปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนและไม่สามารถวัดได้ด้วยตัวเลข

ความแตกต่างและความเชื่อมโยง

ลักษณะ

ระเบียบวิธีพุทธศาสนาทางนาม

ระเบียบวิธีทางการวิจัยเชิงคุณภาพ

จุดมุ่งหมาย

เข้าใจธรรมชาติของจิตใจ และดับทุกข์ นิพพาน

เข้าใจความหมายและประสบการณ์ของผู้คน

วิธีการ

การทำสมาธิ การวิปัสสนา

การสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์

ข้อมูล

ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจจิตใจ

ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ บันทึกสนทนา

ขอบเขต

สิ่งที่ไม่มีรูปธรรม เช่น จิตใจ ความคิด

ปรากฏการณ์ที่ซับซ้อน เช่น วัฒนธรรม ประสบการณ์ส่วนตัว

ความเชื่อมโยง:

  • การเน้นความเข้าใจเชิงลึก: ทั้งสองวิธีต่างให้ความสำคัญกับการเข้าใจปรากฏการณ์ในเชิงลึก
  • การใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือในการศึกษา: ทั้งสองวิธีต่างใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือในการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาจิตใจของตนเอง หรือการศึกษาประสบการณ์ของผู้อื่น

สรุป:

  • ระเบียบวิธีพุทธศาสนาทางนาม เป็นวิธีการศึกษาที่เน้นการเข้าใจธรรมชาติของจิตใจ โดยผ่านการปฏิบัติธรรมและการพิจารณาธรรมชาติของสิ่งต่างๆ
  • ระเบียบวิธีทางการวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นวิธีการศึกษาที่เน้นการเข้าใจความหมายและประสบการณ์ของผู้คน โดยผ่านการสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์ และการวิเคราะห์เนื้อหา

ทั้งสองวิธีมีจุดมุ่งหมายและวิธีการที่แตกต่างกัน แต่ก็มีความเชื่อมโยงกันในแง่ของการแสวงหาความรู้เชิงลึก การศึกษาเปรียบเทียบนี้จะช่วยให้เราเข้าใจความหลากหลายของวิธีการแสวงหาความรู้ได้ดียิ่งขึ้น

จากการเปรียบกระบวนการแสวงหาความรู้ที่เป็นศาสตร์แห่งศาสตร์ หรือ Philosophy Of Science จะพบว่า แนวทางการแสวงหาความรู้ตามกระบวนการทางพุทธศาสตร์ เป็นกระบวนการที่นำไปสู่การแสวงหาความรู้ที่เป็นความจริงที่สุด มีขอบเขตขององค์ความรู้ที่ได้กว้างกว่า สามารถนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวางมากกว่า การแสวงหาความรู้ตามแนวทางของการศึกษาวิจัย ที่จำกัดประเภท และขอบเขตขององค์ความรู้ ที่สำคัญคือกระบวนการแห่งปัญญาในแนวทางพุทธศาสนานั้น สามารถศึกษาด้วยกระบวนการที่บูรณาการทั้งรูป และ นาม หรือเชิงปริมาณและคุณภาพไปพร้อมๆ กันได้ โดยไม่จำแนกศึกษาทีละครั้ง เป็นเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ เพราะในทางศาสนาพุทธมีความเชื่อว่า ทั้งรูปและนามมีอิทธิพลต่อกันในขณะใดขณะหนึ่ง หรือต่างช่วงเวลาได้ นั่นหมายถึงวิธีทางการศึกษาแบบพุทธศาสตร์ เป็นวิธีทางการศึกษาที่เป็นศาสตร์ชั้นสูงกว่าศาสตร์ไดๆ ในโลกใบนี้ ที่สามารถศึกษาและอธิบายถึงหลักแห่งควอนตั้ม ก่อนการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ของโลก ที่พัฒนาทฤษฎีควอนตั้มฟิสิกส์อยู่ในปัจจุบันนี้ ฝากถึงนักวิชาการทั้งหลาย ผู้หลงไหลอยู่กลับหลักวิทยปรัชญาของต่างประเทศ ได้ช่วยกันหันกลับมามองศาสตร์แห่งศาสตร์ที่มีอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่โบราณ ได้มาช่วยกันปัดฝุ่น และพัฒนากระบวนการแสวงหาความรู้ ให้เป็นที่นิยมในการปลูกฝังวิธีคิดเพื่อสร้างปัญญา และใช้ปัญญาเพื่อการดำรงชีวิตของมวลมนุษยชาติต่อไปในอนาคต