Authority & Harm
ผช.ผบ.ตร.'ประจวบ'ตรวจความเรียบร้อย ประชุมที่ปรึกษากฎหมายเอเชีย-แอฟริกา
กรุงเทพฯ-“พล.ต.ท.ประจวบฯ” ตรวจความเรียบร้อยการรักษาความปลอดภัย การประชุมประจำปีองค์การที่ปรึกษากฎหมายแห่งเอเชียและแอฟริกา พร้อมชื่นชมตำรวจจับกุมได้รวดเร็ว กรณีชายจากทวีปแอฟริกามีพฤติกรรมแอบอ้างขอถ่ายภาพกับคณะบุคคลสำคัญ (VIP) ของต่างประเทศ เพื่อสร้างโปรไฟล์ตัวเอง
วันนี้ (12 กันยายน 2567) เวลา 16.30 น. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) เดินทางไปตรวจความเรียบร้อย การรักษาความปลอดภัย การจัดประชุมประจำปีขององค์การที่ปรึกษากฎหมายแห่งเอเชียและแอฟริกา (Asian - African Legal Consultative Organization: AALCO) สมัยที่ 62 ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค ซอยสุขุมวิท 22 แขวงคลองตัน เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. (ทำหน้าที่หัวหน้าส่วนอำนวยการ และสนับสนุน ศปก.ตร.) , พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น.5 , ผู้แทน บช.ส. , ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ , ผู้แทนกรม การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข , ผู้แทนโรงแรมสถานที่ประชุม และผู้แทนหน่วยที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจเยี่ยมและร่วมประชุมติดตามสถานการณ์ ณ ที่ทำการส่วนหน้าโรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค พร้อมมอบรางวัลชมเชย ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนที่สามารถติดตามจับกุมบุคคลต้องสงสัยที่พยายามที่จะขอเข้าพบ VIP ต่างประเทศ โดยไม่ได้รับอนุญาตได้อย่างรวดเร็ว และมอบสิ่งของบำรุงขวัญให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้วยส่วนหนึ่ง
ทั้งนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้เกี่ยวข้องในการดูแลความปลอดภัยการประชุมดังกล่าวอย่างเต็มที่ พร้อมกล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล , สน.ทองหล่อ , สน.พญาไท และ ตรวจคนเข้าเมือง 1 ที่สามารถติดตามจับกุมชายชาวแอฟริกันที่มีพฤติการแอบอ้างโดยการขอถ่ายภาพกับบุคคลสำคัญในต่างประเทศ หรือคณะวีไอพี ที่เดินทางมาประเทศไทย เพื่อวัตถุประสงค์นำไปใช้อวดอ้างในทางทุจริตเพื่อประโยชน์ของตน
โดยเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา เวลา 20.00 น. ได้มีชายชาวแอฟริกัน (ขอสงวนชื่อและสัญชาติ) อายุ 41 ปี มาขอเข้าพบรัฐมนตรีของ 1 ใน 11 ประเทศ ที่มาเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ภายในล็อบบี้ของโรงแรมแบงค็อก แมริออท มาคีย์ ควีนส์ปาร์ค เพื่อขอถ่ายภาพ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล ชุด รปภ.บุคคลสำคัญกันเอาไว้ ชายคนดังกล่าวจึงหลบหนีไป ทั้งนี้ เลขาธิการกงสุลใหญ่กิตติมาศักดิ์ของรัฐมนตรีประเทศดังกล่าว ระบุว่า ชายต้องสงสัยคนนี้มีพฤติกรรมมักจะมาขอถ่ายภาพกับบุคคลสำคัญของประเทศ เพื่อนำไปเป็นโปรไฟล์ว่าเป็นผู้มีอิทธิพล แล้วนำไปใช้ในทางที่ไม่ดี
ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งขาติ (ศปก.ตร.) โดย พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./หัวหน้าส่วนอำนวยการและสนับสนุน ศปก.ตร. ได้รับรายงานเหตุดังกล่าวแล้ว จึงได้รายงานให้ พล.ต.ท.ประจวบฯ ทราบ พร้อมรับคำสั่งให้ ศปก.ตร. ประสานการปฏิบัติกับศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สันติบาล และกองการต่างประเทศ ดำเนินการตรวจสอบประวัติต่างๆ ของบุคคลดังกล่าว ว่ามีพฤติการณ์ใดๆ ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง หรือมีพฤติกรรมตามที่ได้รับการแจ้งมาจากทางสถานทูตหรือไม่ จากการสืบสวนของชุดสืบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล , สน.ทองหล่อ , สน.พญาไท และ ตรวจคนเข้าเมือง 1 ได้ดำเนินการตรวจสอบชายต่างชาติดังกล่าว พบว่าชายชาวแอฟริกันคนดังกล่าว มีที่พักอยู่ที่คอนโดย่านถนนพระราม 2 และเปิดร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่อาคารใบหยก 2 ชั้น 1 ประตูน้ำ เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร วานนี้ (11 กันยายน 2567) เวลาประมาณ 15.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ร่วมกันตรวจร้านดังกล่าวภายในอาคารใบหยก สกาย ชั้น 1 ตลาดประตูน้ำ พบชายชาวตะวันออกกลาง อายุ 39 ปี กำลังยืนขายสินค้าประเภทเสื้อผ้าภายในร้าน ต่อมาชายชาวแอฟริกันคนดังกล่าวได้เข้ามาที่ร้านและแสดงตัวเป็นเจ้าของร้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อหาชายชาวตะวันออกกลาง ว่ากระทำผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าว ผู้มีใบอนุญาตทำงาน แต่ทำงานนอกเหนือประเภทลักษณะงานนายจ้างที่ระบุในใบอนุญาต” ส่วนชายชาวแอฟริกันคนดังกล่าวที่รับว่าเป็นนายจ้างนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหา “เป็นนายจ้าง ให้แรงงานต่างด้าวที่มีใบอนุญาตทำงานทำงานโดยผิดเงื่อนไข” ควบคุมตัวส่ง สน.พญาไท ดำเนินคดี
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญชายชาวแอฟริกันคนดังกล่าวไปยังถิ่นที่อยู่ตามใบอนุญาตทำงานที่ได้รับอนุญาตเป็นเจ้าของกิจการนั้น เมื่อไปถึงปรากฏพบว่าเป็นโรงงานผลิตเสื้อผ้า ชื่อบริษัท เอสเค เอ็กซ์พอร์ต จำกัด ตั้งอยู่ที่ซอยพระยามนธาตุ แยก 17 แขวงคลองบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร จึงร่วมกันตรวจสอบบริษัทซึ่งเปิดดำเนินกิจการผลิตเสื้อผ้าโดยมีชายชาวแอฟริกันคนดังกล่าวเป็นกรรมการผู้จัดการจริง และตรวจพบลูกจ้างชาวเมียนมาอีกจำนวน 9 คน ซึ่งทั้ง 9 คนนั้นไม่มีใบอนุญาตทำงานโดยถูกต้องตามกฎหมาย และยังไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยอีกด้วย จึงได้จับกุมพร้อมแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 1-7 ในความผิดฐาน “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” และแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 8-9 ในความผิดฐาน “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด(OVERSTAY) และเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ท่าข้าม ดำเนินการตามกฎหมาย และจะได้มีการพิสูจน์ทราบและดำเนินการเพิ่มเติมกับชายชาวแอฟริกันคนดังกล่าวว่ามีพฤติการณ์กระทำผิดอื่นๆ อีกหรือไม่ เพื่อดำเนินมาตรการเพิ่มเติมต่อไป