Biz news

'ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค(ไทย)'ประกาศ4แนวทาง สู่การเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืน



กรุงเทพฯ 19กันยายน 2567 – ความยั่งยืนเป็นสิ่งที่หลายองค์กรทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในปัจจุบัน ภาคธุรกิจต่างก็ปรับตัวใส่ใจเรื่องความยั่งยืนมากขึ้นหากกล่าวถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยหลักที่ทำให้ภาคธุรกิจรวมถึงผู้ผลิตในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มหันมาให้ความใส่ใจในเรื่องนี้ คือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตรวมถึงทรัพยากรธรรมชาติที่ลดน้อยลงทุกทีในขณะเดียวกันผู้บริโภคต่างก็ตระหนักและตื่นตัวกับเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้นผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ในปี 2565 ระบุว่าผู้บริโภคกว่า 71.4% สนใจที่จะหันมาเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มและปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากที่สุด ได้แก่ ปัญหามลพิษ เช่น น้ำเสีย ฝุ่น PM 2.5และขยะมูลฝอยที่ไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง ส่งผลให้ผู้บริโภคจำนวนมากขึ้นเริ่มปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อช่วยลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การลดหรืองดการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หรือบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายได้มากขึ้น1 ด้วยเหตุนี้ภาคธุรกิจจึงต้องปรับตัวและมีแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืนที่ชัดเจนและจับต้องได้มากยิ่งขึ้น

บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ(ประเทศไทย) จำกัดให้ความสำคัญกับผู้บริโภคและตั้งเป้าหมายเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืนในทุกมิติทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยความยั่งยืนถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ Must Win Battle”ของบริษัทฯเน้นการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ตามค่านิยมองค์กร “การเติบโตอย่างยั่งยืน  (Growing for Good)”เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์มุ่งสู่การเป็น “บริษัทเครื่องดื่มที่ผู้บริโภครักมากที่สุดในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง” (the Most Beloved Beverage Company in Thailandwith True Gemba Centricity)

แนวทางสู่ความยั่งยืนของซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย

1. ความยั่งยืนด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ (Water Sustainability)ที่ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย เราตระหนักดีว่า“น้ำ” เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ล้ำค่า เป็นหัวใจสำคัญและจำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจของเรา จึงมุ่งมั่นบริหารจัดการน้ำอย่างจริงจังในทุกด้าน โดยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อลดการสูญเสียน้ำในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ขั้นตอนการล้างทำความสะอาด การหล่อเย็น การผสม ไปจนถึงการบรรจุผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่งผลให้เราใช้น้ำน้อยกว่า 1.4 ลิตรในการผลิตเครื่องดื่ม 1 ลิตรนับเป็นการสูญเสียน้ำในกระบวนการผลิตที่น้อยมากและถือได้ว่าโดดเด่นที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม พร้อมทั้งติดตั้งระบบตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำ และมีระบบบำบัดน้ำเสียประสิทธิภาพสูงภายในโรงงาน ทำให้สามารถหมุนเวียนน้ำที่ใช้แล้วกว่า 80% กลับมาใช้ประโยชน์ได้ใหม่ในส่วนที่ไม่ได้สัมผัสอาหาร นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของทรัพยากรน้ำและส่งเสริมการอนุรักษ์น้ำแก่เยาวชนผ่านโครงการมิซุอิกุ (Mizuiku) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงมีโครงการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ อาทิ การสร้างฝาย ปลูกหญ้าแฝก และฟื้นฟูระบบนิเวศของป่า เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและส่งเสริมให้คนในชุมชนพื้นที่ต้นน้ำช่วยกันดูแลและอนุรักษ์แหล่งน้ำในท้องถิ่นของตน พร้อมกันนี้เรายังเปิดโอกาสให้พนักงานได้เข้าร่วมกิจกรรม“คน-น้ำ-ดี” ในทุก ๆ ปี เพื่อนำความรู้สู่การลงมือปฏิบัติและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลังต่อไป

2. ความยั่งยืนด้านบรรจุภัณฑ์(Packaging Sustainability) ส่งเสริมการจัดการบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนตั้งแต่การเลือกใช้วัสดุและการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการและสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ โดยซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย เลือกใช้ขวดพลาสติก PET (Polyethylene Terephthalate) แบบใส ไม่มีสีเป็นขวดบรรจุภัณฑ์ของเครื่องดื่มทุกชนิดของบริษัทโดยข้อดีของบรรจุภัณฑ์ชนิดนี้คือ สะอาด ปลอดภัย มีน้ำหนักเบา แข็งแรง ไม่เปราะแตกง่ายและที่สำคัญสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้100% นอกจากนั้น ยังได้พัฒนาเทคโนโลยีผลิตรวมถึงออกแบบบรรจุภัณฑ์ร่วมกับคู่ค้า (suppliers) จนเกิดเป็น ขวดพลาสติก PET น้ำหนักเบา (LightweightPET Bottles) ที่ลดปริมาณการใช้พลาสติกใหม่ในการผลิตขวดลงซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้ รวมถึงนำพิมพ์สีบนฝาขวดเครื่องดื่มออก เพื่อช่วยลดการใช้สารเคมีในการล้างทำความสะอาดและทำให้การรีไซเคิลง่ายขึ้นด้วยและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ คือ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ประกาศเริ่มใช้ขวดจากพลาสติกรีไซเคิล 100% (ขวดrPET 100%) เป็นเจ้าแรกในตลาดเครื่องดื่มไทย นำร่องด้วยเครื่องดื่มเป๊ปซี่ ขนาด 550 มิลลิลิตร และ 1,450 มิลลิลิตร และชาพร้อมดื่มทีพลัสทุกรสชาติ ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา ซึ่งจากความพยายามทั้งหมดที่กล่าวมาส่งผลให้บริษัทฯ สามารถลดการใช้พลาสติกใหม่(Virgin PET)ได้มากกว่า5,800ตัน2 ตลอดจนสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการคัดแยกขยะและบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วอย่างเหมาะสม และเดินหน้าส่งเสริมการคัดแยกและเก็บกลับขวดพลาสติก PET ที่ใช้แล้วอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อรีไซเคิลหมุนเวียนกลับมาเป็นขวดใหม่ หรือที่เรียกว่า “Bottle-to-Bottle Recycling” นับเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าและยังช่วยส่งเสริมให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วย

3. การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Reduction)มุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตและการขนส่ง รวมถึงเพิ่มการใช้พลังงานทดแทนและนวัตกรรมการผลิตสีเขียวในโรงงานและคลังสินค้าอย่างต่อเนื่อง อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ การวิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  ทำให้สามารถลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานไฟฟ้าและการเผาไหม้ทางตรง ได้ 9%3 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และยังคงเดินหน้าพัฒนากระบวนการต่างๆ เพื่อให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

4. การช่วยเหลือสังคม (Social Contributions) ซันโทรี่ เป๊ปซี่โคประเทศไทยดำเนินธุรกิจเคียงข้างคนไทยและร่วมช่วยเหลือสังคมไทยตลอดมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่นน้ำท่วม ภัยแล้ง หรือวิกฤตโรคระบาดอย่างการแพร่กระจายของโควิด-19บริษัทฯ ดำเนินโครงการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องเพื่อให้คนไทยทุกคนได้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติโดยเร็วนอกจากนั้นยังส่งเสริมให้พนักงานได้แสดงจิตอาสาในการช่วยเหลือชุมชนและสิ่งแวดล้อมผ่านกิจกรรม“Helping Hands” ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561โดยนำเงินที่ได้

จากการระดมทุนของพนักงานในองค์กรไปช่วยเหลือและทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ให้แก่สังคม อาทิ การติดตั้งระบบกรองน้ำสะอาดให้กับน้อง ๆ นักเรียนในโรงเรียนที่ขาดแคลนการมอบอุปกรณ์การเรียนและเงินสนับสนุนเพื่อซ่อมแซมพื้นอาคารเรียนที่ชำรุด การปรับปรุงสนามเด็กเล่น และสร้างลานกิจกรรม "ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค" เพื่อให้โรงเรียนและชุมชนได้ใช้ประโยชน์เป็นต้น

โดยแนวทางสู่ “ความยั่งยืน” ของ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางธุรกิจการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมการเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือก แต่คือเส้นทางสำคัญที่จะสร้างและส่งต่อโลกที่ยั่งยืนให้กับคนรุ่นถัดไป