Authority & Harm
เมียโร่ร้องสื่อ10เดือนคดีไม่คืบผัวถูกปล้น แต่กลับเป็นผู้ต้องหาทำร้ายร่างกายผู้อื่น
นครราชสีมา-เมียโร่ร้องสื่อ 10 เดือนคดีไม่คืบ ผัวและหลาน ถูกปล้นชิงทรัพย์เงิน 3 หมื่น และมอเตอร์ไซค์ แต่กลับกลายเป็นผู้ต้องหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นสาหัส
วันที่ 20 กันยายน 2567 นางสุนิสา ยังสันเทียะ ภรรยา อายุ 39 ปี ได้เข้ามาขอความเป็นธรรมและเร่งรัดคดี กับ พ.ต.ท.ตฤณ บุญสันเทียะ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.โนนสูง หลังนายประทีป แก่นโพธิ์ อายุ 42 ปี สามี และหลาน ถูกคนร้ายปล้นชิงทรัพย์ มอเตอร์ไซค์ 2 คันและเงิน 3 หมื่นบาท ก่อนถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ต้องหาทำร้ายร่างกาย ทำให้ผู้อื่นสาหัส ทั้งที่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็น อีกทั้งต้องการที่จะเปลี่ยนพนักงานสอบสวน เพราะไม่ให้ความเป็นธรรมในรูปคดี และไม่มีความเชื่อมั่น หลังจากคดีไม่มีความคืบหน้ากว่า 10 เดือน โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2566 เวลา 22.00 น เหตุเกิดบริเวณเหมืองน้ำ บ้านขาม หมู่ 9 ตำบลโตนด อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา
นางสุนิสา เล่าว่า เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา สามีของตนคือนายประทีป อายุ 42 ปี พร้อมด้วยนายมนตรี เป็นหลาน อายุ 23 ปี และนายประวิทย์ อายุ 35 ปีช่างซ่อมรถ ได้ซ่อมรถจักรยานยนต์เสร็จก็จะพากันกลับบ้าน และเดินทางมาทางลัด เพื่อจะได้หาปลาในระหว่างทางก่อนกลับบ้าน ด้วยมอเตอร์ไซค์ขับตามกันมาทั้งหมด 3 คัน มีไฟส่องปลา และมีฉมวกแทงปลาทั้ง 3 คน ก่อนจะขับจักรยานยนต์ผ่านกระท่อม ที่มีชายฉกรรจ์อยู่ทั้งหมด 5 คน อายุ 50 ปีขึ้นไป และมีการเรียกให้จอด แต่ทางสามีพร้อมกับพวกไม่ยอมจอดเพราะกลัวว่าจะได้รับอันตรายจึงขับมอเตอร์ไซค์ผ่านไป ในระหว่างนั้นทางกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้ง 5 คนได้ขับมอเตอร์ไซค์ตามกันมา ก่อนที่จะใช้ไม้หน้าสามและอาวุธมีด รุมทำร้าย ทำให้ทั้งหมดต่างพยายามที่จะวิ่งหนีตาย และได้รับบาดเจ็บกันทุกคนโดยหลานได้รับบาดเจ็บมากที่สุด นอกจากนี้เงินของหลานที่นำติดตัวมาด้วย 3 หมื่นบาทที่เตรียมไว้จะจ่ายเป็นค่ารถกระบะไฟแนนซ์เอาไว้ ก็ถูกชิงเอาไป และมอเตอร์ไซค์อีก 2 คัน หลังจาหนี้ได้จึงได้โทรตาม รุ่นน้องให้มาช่วยตามหามอเตอร์ไซค์เนื่องจากถูกกลุ่มชายฉกรรจ์เอาไป หลังจากนั้นรุ่นน้องได้ไปตามเพื่อนมาอีกรวมทั้งหมด 5 คน ก่อนจะไปเจอกลุ่มชายฉกรรจ์ที่นั่งดื่มเหล้ากันในกระท่อม และมีการเข้าตะลุมบอลกันเกิดขึ้น จะมีผู้บาดเจ็บ
ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา กลุ่มของนายประทีป ว่ามีการทำร้ายร่างกายผู้สาหัส และมีการแจ้งข้อกล่าวหากับสามีของตนด้วย ทั้งที่สามีไม่ได้มีการสั่งการให้รุ่นน้องไปทำร้ายคู่กรณีแต่อย่างใด แต่รุ่นน้องไปทำกันเอง จึงทำให้โดนร่างแหไปด้วย อย่างไรก็ตามกลุ่มชายฉกรรจ์ 5 คน ที่เป็นต้นเรื่องของเหตุการณ์ดังกล่าว ที่มีการรุมทำร้าย สามีและพวกของตน เวลาผ่านไปนานเกือบ 10 เดือน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาแต่อย่างใด แจ้งแต่ฝ่ายตนเองเพียงฝ่ายเดียว
นายประทีป แก่นโพธิ์ อายุ 42 ปี ผู้ตกเป็นผู้ต้องหา ทำร้ายร่างกายผู้อื่นสาหัส เผยว่า วันดังกล่าวตนได้เอารถมอเตอร์ไซค์ไปซ่อม และเตรียมตัวที่จะกลับบ้าน ในระหว่างทางก็เตรียมไฟและฉมวกไปเพื่อที่จะหาปลาในระหว่างทางเพื่อกลับบ้าน แต่ก็ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ 5 คนเข้ามาทำร้ายร่างกาย และปล้นชิงทรัพย์ เงินสด 3 หมื่นบาท และมอเตอร์ไซค์อีก 2 คัน ในระหว่างที่ถูกลงรุมทำร้าย ตนพยายามที่จะขอร้องไม่ให้ทำร้าย แต่ฝั่งตรงข้ามก็ไม่สน ทั้งที่ตนเองทั้ง 3 คนก็มีฉมวกแทงปลาทุกคน จะสามารถนำเป็นอาวุธในการป้องกันตัวเองก็ได้แต่เลือกที่จะไม่ต่อสู้ เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายถึงชีวิต และยังถูกกลุ่ม น้องของตนเอง ที่โทรตามให้มาช่วยตามหา รถมอเตอร์ไซค์ที่ถูกปล้นเอาไป กล่าวหาว่าตัวเองสั่งการให้ไปลงทำร้ายคู่กรณี จนสาหัส 3 คน ซึ่งเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่รู้ว่าน้องถูกใครบังคับหรือเปล่าให้พูดแบบนี้ จนตกกลายเป็นผู้ต้องหาร่วมด้วย จึงอยากจะร้องขอความเป็นธรรม
ด้าน ร.ต.อ.อำนาจ ปล้องงูเหลือม รอง สว.(สอบสวน) สภ.โนนสูง เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ที่มีการทะเลาะวิวาทกันเกิดขึ้น และยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหากับกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้ง 5 คน ที่เป็นต้นเรื่องของการทำร้ายกลุ่มนายประทีป เพราะว่าคู่กรณี 3 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัส และอีก 2 คนบาดเจ็บเล็กน้อย จึงไม่สามารถที่จะสอบปากคำได้ทั้งหมด จึงยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาในคดีดังกล่าว ส่วนประเด็นที่ว่ามีการปล้นทรัพย์เงิน 3 หมื่นบาท และรถมอเตอร์ไซค์อีก 2 คัน จึงต้องมีการสอบพยานแวดล้อมทั้งหมด จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นการปล้นชิงทรัพย์ แต่หลังจากเกิดเหตุดังกล่าวกลุ่มนายประทีป ได้มีการนำพวกมารุมทำร้าย คู่กรณี จนมีอาการสาหัส 3 คน จากทั้งหมด 5 คน และได้มีการเยียวยาให้กับคู่กรณีไปเป็นจำนวนเงิน 310,000 บาท โดยทั้ง 5 คนให้การว่านายประทีปเป็นคนสั่งการให้มาทำร้ายร่างกาย แต่มีนายประทีปปฏิเสธอยู่คนเดียวว่าไม่ได้สั่งการ ตำรวจจึงต้องออกหมายเรียกเพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวหา ส่วนจะให้การยังไงหรือปฏิเสธ ก็สามารถที่จะทำได้ตามพยานหลักฐาน
ณัฐพงศ์ อรชร/ข่าวนครราชสีมา