Think In Truth
ดิจิทัล เฟส2 ยังอลเวง!...รอลุ้นจ่ายสด แค่5พันบาท โดย : ฅนข่าว 2499
เริ่มแจกไปแล้ว สำหรับ เงินดิจิทัล 10,000 บาท โดยแจกให้กับกลุ่มเปราะบางและคนพิการ 14.5 ล้านคน วงเงินรวม 145,552 ล้านบาทโดยคนพิการจะได้รับเงินโอน ส่วนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน เงินจะเข้าบัญชี โดยกรมบัญชีกลางจะทยอยโอนให้ระหว่างวันที่ 26-27 และ 30 กันยายน 2567
สำหรับไทม์ไลน์โอนเงิน 10,000 บาท ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามเลขบัตรประจำตัวประชาชน ดังนี้
- วันแรกวันที่ 25 กันยายน 2567 โอนเงินให้คนพิการ และผู้ถือบัตรสวัสดิการ ที่มีเลขประจำตัวบัตรประชาชนลงท้าย เลข 0 จำนวน 3.17 ล้านคน
- วันที่ 26 กันยายน 2567 โอนเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการ ที่มีเลขประจำตัวบัตรประชาชนลงท้ายเลข 1, 2, 3 จำนวน 4.51 ล้านคน
- วันที่ 27 กันยายน 2567 โอนเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการ ที่มีเลขประจำตัวบัตรประชาชนลงท้าย เลข 4,5,6 7 จำนวน 4.51 ล้านคน
- วันที่ 30 กันยายน 2567 โอนเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการ ที่มีเลขประจำตัวบัตรประชาชนลงท้าย เลข 8, 9 จำนวน 2.25 ล้านคน
สำหรับหมื่น เงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 2 ของกลุ่มทั่วไปต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง ระบุว่ากลุ่มที่ลงทะเบียนไว้กับแอปทางรัฐ จะประกาศผลเมื่อไหร่ โดยให้รอเปิดลงทะเบียนผ่าน 3 ธนาคารของรัฐ ของกลุ่มที่ไม่มีโทรศัพท์สมาร์ตโฟนหากรัฐบาล จ่ายโอนเงิน 10,000 บาท ให้กับกลุ่มทั่วไป เป็นเงินสดจะสามารถถอนเงินได้ และใช้จ่ายซื้อสินค้าอะไรก็ได้ แต่หากรัฐบาลแจกเป็นเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และข้อจำกัดเดิม โดยจะไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้
ทั้งนี้ การใช้จ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะไม่สามารถซื้อสินค้าดังต่อไปนี้ คือ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ / เครื่องใช้ไฟฟ้า / อุปกรณ์สื่อสาร เช่น โทรศัพท์มือถือ สมาร์ตโฟน / สลากกินแบ่งรัฐบาล / เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ / ยาสูบ / กัญชา / กระท่อม / พืชกระท่อม / ผลิตภัณฑ์กัญชาและกระท่อม / บัตรกำนัล / บัตรเงินสด / ทองคำ / เพชร / พลอย / อัญมณี / น้ำมันเชื้อเพลิง / ก๊าซธรรมชาติและบริการต่างๆ ที่ไม่สามารถเข้าร่วมได้
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเลตว่า ยืนยันว่าจะได้รับอย่างแน่นอน ในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งมองประโยชน์ใน 2 มิติ คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจ และการใช้ดิจิทัล ซึ่งจะมีประชาชนที่ต้องดูแลเหลือประมาณ 26 ล้านคน โดยตัดความซ้ำซ้อนจากกลุ่มเปราะบางที่เข้ามาลงทะเบียนแล้วได้รับสิทธิไปแล้ว
“จากยอดลงทะเบียน 36 ล้านคนพบว่ามีความซ้ำซ้อนจากสิทธิที่ได้รับในกลุ่มเปราะบาง 10 ล้านคน ส่วนกลุ่มเปราะบางที่เหลืออีก 4 ล้านคน ก็สันนิษฐานได้ว่า เป็นกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟนด้วย ฉะนั้นจะเหลือประชาชนที่ต้องดูแลอีกประมาณ 26 ล้านคนบวกลบ”รมช.คลังกล่าว
ขณะที่ความคืบหน้าการเดินหน้าโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเลต เฟส 2 จะต้องรอความชัดเจนจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดวัน ส่วนจะจ่ายเงิน 10,000 บาท หรือ 5,000 บาท จะต้องดูความเหมาะสม เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจมีหลายมิติ
“การแจกเงินในเฟส 2 ยืนยันว่ายังเดินหน้าอย่างแน่นอน ผ่านดิจิทัล แต่การจ่ายนั้นจะเป็นเท่าไหร่ จะขอดูความเหมาะสม และการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านอื่น ๆ ประกอบด้วย ขณะที่การบริหารจัดการงบประมาณไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน” นายจุลพันธ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจ่ายเงิน 10,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบางและผู้พิการ ที่เริ่มจ่ายตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย.เป็นต้นไปนั้น รวมระยะเวลาแจกตามเลขบัตรประชาชน 4 วัน เชื่อว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.35% โดยภายหลังการโอนเงินให้ประชาชนวันแรก พบว่า บรรยากาศในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนมีความคึกคักมากขึ้น
ทั้งนี้ หากประเมินทั้งโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่คาดว่าจะใช้เม็ดเงินรวมประมาณ 450,000 ล้านบาทนั้น แม้จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เพิ่มมากขึ้น แต่ยังต่ำกว่าระดับศักยภาพที่มองไว้ โดยมองว่า ศักยภาพของไทยควรจะอยู่ที่ประมาณ 5% โดยต้องขยายเพดานศักยภาพของเราผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น การพัฒนาทักษะแรงงาน ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ที่ต้องเดินคู่ขนาน
“อย่าพอใจกับตัวเลขศักยภาพเศรษฐกิจที่ระดับ 2% เพราะศักยภาพของไทยควรจะอยู่ที่ 5% เป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ต้องใช้เวลา และไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ในปีเดียว โดยรัฐบาลมีภาระหน้าที่ ทั้งในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนก็ต้องทำ” นายจุลพันธ์กล่าวในที่สุด