Biz news
ยูโอบี(ไทย)ร่วมใจพนักงานลูกค้าพันธมิตร ระดมเงินบริจาค5.1ล้านบาทช่วยเด็ก
กรุงเทพ, 3 ตุลาคม 2567 – ยูโอบี ประเทศไทย ร่วมระดมเงินบริจาคในกิจกรรมประจำปี 2024 UOB Heartbeat Run จำนวน 5.1 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการศึกษาของเด็กไทย โดยมีผู้บริหาร พนักงานธนาคาร พร้อมครอบครัวทั่วประเทศ รวมถึงลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจกว่า 2,300 คน เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมอาสาเพื่อสังคมที่กลุ่มธนาคารยูโอบีจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีใน 18 ประเทศทั่วโลก
เงินระดมทุนได้ในประเทศไทยจะนำไปสนับสนุนโครงการ UOB My Digital Space (MDS) ที่จะมอบการศึกษาที่มีคุณภาพผ่านเครื่องมือการเรียนรู้และทักษะดิจิทัลวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลของประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับโครงการเพื่อสังคมของธนาคารยูโอบีที่มุ่งเน้นสนับสนุนด้านศิลปะ เยาวชนและการศึกษา
นายริชาร์ด มาโลนี่ย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการ UOB My Digital Space นับเป็นการลงทุนที่สำคัญต่ออนาคตของประเทศไทย ด้วยการมอบโอกาสให้เด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงเทคโนโลยีและการศึกษา เราไม่ได้เพียงลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ยังนับเป็นการบ่มเพาะผู้นำรุ่นใหม่ของประเทศไทยอีกด้วย โครงการนี้เป็นมากกว่าเป็นความรับผิดชอบต่อสังคม แต่เป็นการส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้ระดับโลก เราเชื่อว่าการให้ความสำคัญกับการศึกษา จะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว”
สำหรับเงินระดมทุนที่ได้ในปีที่แล้ว สามารถนำไปสนับสนุนนักเรียนกว่า 4,000 คนใน 6 โรงเรียนทั่วประเทศ นับว่าช่วยเพิ่มการเข้าถึงการศึกษาในวิชาหลักได้อย่างมีนัยสำคัญ
หนึ่งในไฮไลท์ของกิจกรรม 2024 UOB Heartbeat Run ยังเป็นงานวิ่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น
·เสื้อวิ่งรักษ์โลกจากผ้าเหลือใช้จากอุตสาหกรรมแฟชั่น
·เหรียญรางวัลที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล และยังสามารถนำไปใช้ต่อเป็นที่รองแก้ว
·ถ้วยรางวัลนักวิ่งที่ผลิตจากกล่องนมรีไซเคิล และยังสามารถนำไปใช้เป็นที่วางโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต
·ขวดน้ำดื่มยูโอบีที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 100%
·ถังขยะรีไซเคิลสำหรับรวบรวมขวดพลาสติก พร้อมจุดคัดแยกขยะ 2 แห่งสำหรับเก็บขยะทุกรูปแบบเพื่อนำไปรีไซเคิล
·บริจาคอาหารส่วนเกินให้แก่ชุมชนใกล้เคี
โดยการดำเนินการต่างๆ เหล่านี้ คาดว่าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 5,155.98 กิโลกรัมเทียบเท่า ซึ่งเทียบเท่ากับการขับรถที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นระยะทางโดยเฉลี่ย 21,217.34 กิโลเมตร