H&B News

ผลวิจัยคนไทยเทรนด์รักสุขภาพมาแรง



กรุงเทพฯ-ผลการศึกษาวิจัยระดับโลกชิ้นใหม่พบว่า ผู้บริโภคชาวไทยกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางสังคมอันเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคของตนเอง มากที่สุดเทรนด์รักสุขภาพและข้อเรียกร้องให้ผู้ประกอบการฟาร์มเลี้ยงสัตว์ใส่ใจต่อสวัสดิภาพสัตว์ให้มากยิ่งขึ้นกำลังเป็นกระแสที่ถูกจับตามองในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

 8 มิถุนายน 2564 งานวิจัยระดับโลกชิ้นใหม่ที่จัดทำขึ้นโดยสถาบันวิจัยเดอะควอลทริคส์ เอ็กส์เอ็มอินสติทิว (the Qualtrics XM Institute) ได้วิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่เปลี่ยนไปในช่วงการระบาดของโควิด-19 และได้ข้อสรุปว่า วิถีทางในการจับจ่ายใช้สอย วิธีการคัดสรรสิ่งที่จะเลือกซื้อ และประสบการณ์ที่ผู้คนคาดหวังจากผู้ผลิตสินค้าได้เปลี่ยนไปแล้วโดยถาวร โดยในกลุ่มประเทศที่ถูกสำรวจทั้งหมดพบว่า ผู้บริโภคจากประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นผู้บริโภคที่สนใจต่อ “ผลกระทบทางสังคม” มากที่สุด โดย 25% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขาเลือกที่จะซื้อผลิตภัณฑ์จาก “ บริษัทที่มีนโยบายตอบแทนคืนกลับสังคม ” เป็นลำดับแรก

นอกเหนือจากข้อเรียกร้องที่ให้บรรดาบริษัทต่างๆ ดำเนินกิจการโดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมที่เพิ่มขึ้นแล้วงานวิจัยสองชิ้นยังแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มพฤติกรรมใหม่ในหมู่ผู้บริโภคชาวไทยที่กำลังมาแรงอีกประการหนึ่งซึ่งก็คือการใช้ชีวิตวิถีใหม่ที่ใส่ใจต่อสุขภาพมากขึ้น กระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา (USDA) ประเมินผลกระทบของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ในภาคอุตสาหกรรมอาหารไทย และเน้นย้ำว่าวิกฤตโรคระบาดได้ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยหันมาตอบรับเทรนด์แนวโน้มการใช้ชีวิตแบบใส่ใจสุขภาพ

“ผู้บริโภคออกมาเรียกร้องให้บริษัทต่าง ๆ แสดงความชัดเจนและเปิดเผยถึงวิธีการผลิตสินค้าของตนเองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะผู้คนตระหนักดีว่าอาหารมีบทบาทสำคัญและส่งผลต่อสุขภาพของเขาอย่างไรบ้าง" คุณพิชามญชุ์ ธมะสุขผู้จัดการฝ่ายสื่อสารของ ซิเนอร์เจีย แอนิมอล (Sinergia Animal) อธิบาย “ไม่เพียงแค่นั้นผู้คนกำลังสร้างจุดเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่พวกเขาบริโภค และผลกระทบที่เกิดต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของส่วนรวม ดังนั้นแนวโน้มที่ผู้บริโภคจำนวนมากจะตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าโดยดูจากข้อมูลที่เปิดเผยจะเพิ่มมากขึ้น บริษัทต่างๆ ก็สังเกตเห็นถึงข้อเรียกร้องนี้และตอบรับได้อย่างรวดเร็ว” คุณพิชามญชุ์กล่าว

องค์กรพัฒนาเอกชนยกตัวอย่างของ ไมเนอร์ฟู้ด ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการด้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและดำเนินธุรกิจใน 27 ประเทศโดยมีเชนร้านอาหารมากกว่า 2,300 แห่งทั่วโลก ไมเนอร์ฟู้ดเป็นเจ้าของและผู้บริหารแบรนด์ดังระดับอินเตอร์มากมาย อาทิ เดอะพิซซ่าคอมปะนี ซิสเล่อร์ สเวนเซ่น แดรี่ควีน และคอฟฟี่คลับ เป็นต้นบริษัทได้ประกาศเจตนารมย์ที่จะเลือกซื้อไข่ไก่จากฟาร์มเลี้ยงไก่ปลอดกรงเป็นวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารในทั่วทุกสาขาของบริษัทภายในปี 2570

“เราได้เคยร่วมวงสนทนาและถกปัญหากับไมเนอร์ฟู้ดและเราชื่นชมการตัดสินใจครั้งนี้ของผู้บริหารเป็นอย่างมากนับเป็นก้าวสำคัญครั้งใหญ่จากบริษัทระดับอินเตอร์ฯ ที่มุ่งเดินหน้าสู่การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจต่อความอย่างยั่งยืนและสวัสดิภาพสัตว์ เราหวังว่าการประกาศเจตนารมย์ครั้งนี้จะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับบริษัทอื่นๆ ที่จะปฏิบัติตามแนวทางเดียวกัน”ซิเนอร์เจีย แอนิมอลได้ยกตัวอย่างเพิ่มเติมจากฝ่ายธุรกิจค้าปลีก เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ซึ่งเป็นเชนซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและมีสาขามากถึง 244 แห่ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัทมีนโยบายที่จะเพิ่มสัดส่วนการวางขายไข่ไก่ที่มาจากฟาร์มเลี้ยงไก่ปลอดกรงขึ้นเป็น 50% ในทุกสาขาทั่วประเทศ โดยเชนธุรกิจดำเนินงานภายใต้ 6 แบรนด์ได้แก่ เซ็นทรัลฟู้ดฮอลล์ ท้อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ท็อปส์ ซูเปอร์สโตร์ ซุปเปอร์คุ้ม ท้อปส์เดลี่ และอีทไทย และย้อนไปในปี2562 เทสโก้ โลตัส คือห้างค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภครายแรกในประเทศไทยที่ประกาศแผนการทยอยเปลี่ยนไปสู่การวางขายไข่ไก่ปลอดกรง 100% ให้ได้ภายในปี 2571 นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทางด้านความปลอดภัยทางอาหารที่น่าชื่นชม

นอกจากนี้ ผลศึกษาวิจัยสำคัญหลายชิ้นในสหภาพยุโรป เผยให้เห็นว่าในฟาร์มเลี้ยงแบบกรงตับนั้นมีความเสี่ยงของการปนเปื้อนเชื้อซาลโมเนลล่า (Salmonella) สูงกว่าฟาร์มปลอดกรงอย่างมีนัยสำคัญ ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก มีเชื้อซาลโมเนลล่าที่แพร่กระจายมากที่สุดชนิดหนึ่งที่ "คาดว่าก่อให้เกิดโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบเฉียบพลันในคนกว่า 93.8 ล้านราย และทำให้ผู้คนเสียชีวิตถึง 155,000 รายทั่วโลกในแต่ละปี ซึ่งราว 85%คาดว่าจะได้รับเชื้อผ่านทางการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อน”

การเปลี่ยนไปบริโภคไข่จากแม่ไก่ที่ไม่เลี้ยงในกรงตับ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการจัดการกับข้อกังวลเกี่ยวกับสวัสดิภาพของสัตว์ เนื่องจากกรงตับถือเป็นระบบหนึ่งที่โหดร้ายทารุณที่สุดต่อสัตว์ ภาพจากฟาร์มของไทย แสดงให้เห็นว่าในระบบนี้แม่ไก่ใช้เวลาแทบทั้งชีวิตในพื้นที่ขนาดเล็กกว่ากระดาษขนาด A4 ทำให้พวกมันไม่สามารถเดินเหินได้อย่างอิสระ หรือกางปีกออกได้ไม่สุด และเนื่องจากกรงแน่นเกินไปทำให้ “ลำตัว” ของแม่ไก่ต้องครูดกับกรงที่เป็นลวดโลหะอยู่ตลอดเวลา ทำให้ขนของพวกมันหลุดร่วง นอกจากนี้การไม่ค่อยได้ขยับร่างกายทำให้พวกมันเจ็บปวดจากอาการกระดูกร้าวและโรคกระดูกพรุนต่าง ๆ

“ฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่แบบปลอดกรงสามารถลดความทุกข์ทรมานของแม่ไก่ได้อย่างมาก เพราะสัตว์จะถูกปล่อยให้ได้แสดงออกตามพฤติกรรมทางธรรมชาติ เช่น การได้เคลื่อนไหวอย่างอิสระ การวางไข่ในรัง จิกคุ้ยเขี่ยดิน และเกาะคอน”คุณพิชามญชุ์อธิบายเพิ่มเติมแนวทางปฏิบัติในการจัดหาไข่ไก่จากฟาร์มเลี้ยงแบบไม่ใช้กรงถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับอุตสาหกรรมอาหารในประเทศไทย แต่เป็นแนวโน้มที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลก ปัจจุบันมีบริษัทมากกว่า 1,000 แห่งทั่วโลก ได้ประกาศนโยบายที่จะเลือกใช้เฉพาะไข่ไก่จากฟาร์มเลี้ยงแบบไม่ใช้กรงในระบบซัพพลายเชนของพวกเขาเท่านั้น ตัวอย่างเช่นบริษัทข้ามชาติหลายแห่ง อาทิ โซเด็กซ์โซ่ คอมพาส กรุ๊ป เนสท์เล่ และ ยูนิลิเวอร์ ต่างก็แสดงเจตนารมณ์ที่จะระงับการสั่งซื้อไข่ไก่จากฟาร์มเลี้ยงที่ใช้กรงตับทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทย

“เราเห็นแนวโน้มที่ดีจากภาคการค้าปลีกในประเทศไทยด้านการรักษาสวัสดิภาพสัตว์และความปลอดภัยทางอาหารการประกาศเจตนารมย์ของเซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล นำไปสู่การลดความทุกข์ทรมานของสัตว์นับล้านตัวในประเทศไทยและเราหวังว่าบริษัทอื่น ๆ อีกมากมายจะดำเนินตามแนวทางนี้เช่นกัน” คุณพิชามญชุ์กล่าวอย่างยินดี นอกจากนี้องค์กรยังแนะนำให้ผู้ที่สนใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินโดยเน้นอาหารที่ยั่งยืน ปลอดภัย ดีต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสัตว์ร่วมโลก ให้มาสมัครเข้าร่วมโครงการทดลองอาหารวีแกน thaichallenge22.org

“ผู้เข้าร่วมจะได้รับเคล็ดลับการทานอาหารประจำวัน สูตรอาหาร และคำแนะนำจากนักโภชนาการในการเริ่มต้นทานอาหารไร้เนื้อสัตว์โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ นอกจากนั้นยังเป็นโอกาสดีที่จะได้พบปะและทำความรู้จักกับผู้คนที่มีเป้าหมายเดียวกันเพื่อสร้างเครือข่ายชุมชนอีกด้วย” คุณพิชามญชุ์ได้อธิบายทิ้งท้าย