Authority & Harm
ฟ้องร้องกันวุ่นแย้งที่ดิน'อบต.-ชาวบ้าน' อ้างมีสิทธิ์ครอบครองที่ดินแปลงร้อน
นครราชสีมา-วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 จากการที่ทางนายประสงค์ มีสวัสดิ์ นายก อบต.หนองตะไก้ อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา ร้องผู้สื่อข่าวว่าถูกกลุ่มนายทุนและชาวบ้านกว่า 10 ราย ทำการบุกรุกยึดพื้นที่สาธารณประโยชน์ “ หนองกรุง - หนองแก้ว “ หมู่ 6 ตำบลหนองตะไก้ อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา ซึ่งมีพื้นที่กว่า 3,939 ไร่ 2 งาน 15 ตารางวา ซึ่งขึ้นทะเบียนไว้ตามหนังสือจังหวัดนครราชสีมา ที่ 8311/2496 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2496 สภาพความเป็นมาได้มีการสงวนหวงห้ามไว้เป็นที่สาธารณประโยชน์มาแต่เดิมเพื่อใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์พาหนะ
นายประสงค์ มีสวัสดิ์ นายกอบต.หนองตะไก้ ยังกล่าวต่อไปว่า จากการตรวจสอบของภาครัฐแล้ววันนี้ก็พบว่าหลักฐานก็ยังไม่ชัดเจนหรือตรวจสอบให้ดีก่อน ซึ่งตนในฐานะผู้บริหารท้องถิ่นนั่นที่ดินดังกล่าวนั่นก็เพื่อให้พี่น้องประชาชนทุกคนทุกท่านเข้ามาใช้ประโยชน์ในที่ดินแห่งนี้ได้ รักษาพื้นที่สาธารณะของประชาชน ส่วนนี้ทางอำเภอก็ดีหรือทางที่ดินนั่นก็มาตรวจสอบแล้วก็เป็นที่ยอมรับกันหมดแล้ว แต่ตนก็สงสัยว่าทำไมทางกลุ่มนายทุนและชาวบ้านกลี่มหนึ่ง ยังใช้อำนาจโดยนำเอาเจ้าหน้าที่ที่ดินจากสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาอำเภอปักธงชัย มาตรวจสอบที่ดินแปลงนี้ มีจุดประสงค์อะไร ทั้งนี้ก็อยากให้ท่านที่มาตรวจสอบได้ไปศึกษาหรืออ่านประวัติความเป็นมาของ ต.หนองตะไก้หรือแนวเขตทั้งหมดของ ต.หนองตะไก้ให้ดีเสียก่อน หากจะวัดก็ไม่มีปัญหา ตนก็จะขอใช้สิทธิ์ของตนในฐานะผู้นำท้องถิ่นนั่นปกป้องพื้นที่ดังกล่าวไว้เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนที่มีสิทธิ์ด้วย
ทางด้านนายวิษณุ ปาระจูม ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง อำเภอสูงเนิน เปิดเผยว่า ตนได้รับเรื่องเรียนมาจากผู้ร้องว่ามีการบุกรุกที่แปลงหนองกง-หนองแก้ว ต.หนองตะไก้ อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา วันนี้ทางอำเภอจึงได้มีการมาตรวจสอบลงพื้นที่ดูพบว่ามีรถไถมาไถดินเป็นในแนวเขตพื้นที่ พบการกระทำผิดทางอำเภอจึงได้ดำเนินการควบคุมจับกุมรถไถคันดังกล่าวไปไปที่สภ.สูงเนิน ส่วนพื้นที่ก้ำกึ่งระหว่างอำเภอปักธงชัยและอำเภอสูงเนิน ที่ตรงนี้ทางเจ้าของอ้างว่าถือกรรมสิทธิ์ สค.1 แปลงเลขที่ 222 ต.ตะคุ ในการจับพิกัดระหว่างที่ดินและอบต.ดูแล้วพบว่าแนวเขตอ.ปักธงชัยจะอยู่อีกทางหลังฝั่งแนวต้นไม้ ส่วนที่ดังกล่าวนี้อยู่ในของอำเภอสูงเนิน ทางเราเห็นพบการกระทำผิดจึงได้ดำเนินการจับกุมไปก่อนตามที่เห็น หลังจากนี้ก็ต้องดูเรื่องแนวเขตระหว่างอำเภอปักธงชัยและอำเภอสูงเนินแบ่งแนวเขตแบบไหน อย่างไรก็ตามก็ต้องให้ผู้บุกรุกมาพิสูจน์สิทธิของเค้าอีกทีนึงในพื้นที่ 100 ไร่ที่บุกรุก แต่อ้างในสค.1 จำนวน 50 ไร่ ส่วนคำพิพากษาล่าสุดเห็นว่าที่ตรงนี้จะเพิกถอนสิทธิ์ สค.1และนส.3 ตั้งแต่ปี 2562 แต่ยังไม่ให้ขับไล่คนงานอยู่ที่ดินแปลงนี้ออก แต่ให้พิสูจน์สิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ก่อนว่าเป็นที่สาธารณะหรือสิทธิ์สค.1 สามารถออกโฉนดได้ตามที่ผู้ถือครองอยู่หรือไม่ แต่ก็ยังไม่มีการพิสูจน์สิทธิ์ผู้ถือครองก็ยังเข้ามาทำประโยชน์ในพื้นที่ตรงนี้นั่นคือไม่ถูกต้องตามระเบียบ ทั้งนี้การพิสูจน์สิทธิ์นั่นทางที่ดินสาขาอำเภอปักธงชัยก็ลงมาตรวจสอบ ทางผู้ถือครองก็ควรจะตอบได้แล้วว่าที่ดินดังกล่าวเป็นอย่างไร
ด้านนายสุนทร แพงไพรี ตัวแทนนายอัมรินทร์ อยู่สุขดี ที่กล่าวว่าที่ดินแปลงดังกล่าวที่ครอบครองมีหนังสืออนุญาต สค.1 เลขที่ 222 หมู่ 6 ตำบลตะคุ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ซึ่งอดีตที่ดินผืนดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของที่ดินอำเภอปักธงชัย ก่อนแยกมาเป็นความรับผิดชอบของที่ดิน อ.สูงเนิน ดังกล่าว
นายสุนทร แพงไพรี ผู้รับมอบอำนาจหรือเป็นตัวแทนนายอัมรินทร์ ยังกล่าวต่อไปว่าต้องยอมรับว่า คุณอมรินทร์กับชาวบ้าน ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากหน่วยงานรัฐ เขาได้มาร้องเรียน จึงได้ตั้งทีมทนายและตรวจสอบ ข้อเท็จจริง พบว่า ศาลฎีกาสู้กัน 3 ศาล และศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ จำเลยที่ 2 , ที่ 5 และที่ 6 มิให้ออกจากที่ดิน และให้จำเลยทั้ง 3 คนไปพิสูจน์สิทธิ ทำให้ทางคุณอัมรินทร์ได้ไปพิสูจน์สิทธิ คือฟ้องศาลเพื่อพิสูจน์ พร้อมทั้งไปยื่นคำขอเพราะทางเรามีเอกสาร สค .1 และเจ้าหน้าที่ที่ดินรับรังวัด ก่อนไปเสียเงินค่ารังวัด ไปลงพิสูจน์ว่าที่ดิน สค.1 ตามที่ศาลให้พิสูจน์ อยู่ตรงไหน ซึ่งเจ้าของต้องทราบดีอยู่แล้วว่าทำประโยชน์อยู่บริเวณจุดไหน และพื้นที่ของตนเองอยู่ติดกับชาวบ้านคนไทยตามทิศต่างๆ จึงได้ไปรังวัด ก็เกิดเหตุการณ์ มีเจ้าหน้าที่จากหลายภาคส่วนมากีดกัน คัดค้านไม่ให้รังวัด เพิ่งโดนมองว่าศาลฎีกาได้สั่งให้เจ้าของที่พิสูจน์สิทธิ แต่มีการมาคัดท้ายไม่ให้รังวัดจึงได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกลุ่มคนดังกล่าวทั้งหมด เพราะถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐมีหน้าที่ดูแลประชาชน มิใช่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ ทั้งที่ศาลฎีกาสั่งให้พิสูจน์สิทธิ เมื่อประชาชนมาพิสูจน์ติดหน่วยงานรัฐยังมาขัดขวาง มีการกักขังหน่วงเหนี่ยวจะคุมรถส่งโรงพัก อีกครั้งหน่วยงานที่ดินของรัฐจะมารางวัด ตามอำนาจหน้าที่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการขัดขวาง โดยอ้างว่าตนเองก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐมาดูแล พื้นที่สาธารณะ ท่านเป็นโจทย์ให้อัยการฟ้อง อบต อำเภอ ผู้ว่า ได้ฟ้องนายอัมรินทร์ และศาลฎีกาพิพากษาให้ มิให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาท รัฐกับเอกชนจะต้องไปพิสูจน์สิทธิกัน มีเท่านี้อย่างอื่นไม่มีการซับซ้อนแต่อย่างใด แต่วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการลุกแก่อำนาจ
ในส่วนของการซื้อที่ดินของนายอัมรินทร์ นั้นได้มาจากใครนั้นข้อมูลอยู่ในศาลทั้งหมดแล้ว ซึ่งเจ้าของที่มีการครอบครองทำประโยชน์ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้ศาลฎีกา ห้ามมิให้ จำเลยออกจากพื้นที่ แต่วันนี้ศาลฎีกาสั่งให้ไปพิสูจน์ เจ้าหน้าที่รักกลับมาไล่ คำถามกลับว่าคุณขัดคำสั่งศาลฎีกาใช่หรือไม่ ผมมองว่าเจ้าหน้าที่รัฐน่าจะเข็มขัดสั้น เจ้าหน้าที่รัฐมีหน้าที่ดูแลพื้นที่สาธารณะ การที่จะคัดค้าน การรังวัด เขามีกำหนด เขามีกำหนดให้คัดค้านภายใน 30 วัน ก็ไปคัดค้านในสำนักงานที่ดิน ไม่ใช่ใช้กลุ่มก้อนมากดดัน มากดดันเจ้าหน้าที่รัฐ บอกว่าไม่ถูกต้อง เจ้าหน้าที่รัฐมาทำงานในอำนาจหน้าที่ แต่มีหน่วยงานบางกลุ่มมาขัดขวางถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ส่วนกรณีที่อธิบดีกรมที่ดินมีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ หลายแห่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายอัมรินทร์แต่อย่างใด เพราะ สค.1 กลับมามีชีวิตอยู่ ถึงมีการเพิกถอนโฉนดสค 1 ก็ยังอยู่ เพราะสค.1 ไม่สามารถเพิกถอนได้ เพราะไม่ได้ออกจากกรมที่ดิน เดิมทีรัฐเป็นโจทก์ฟ้อง คดีอาญา ผูกพันนายอำเภอ อบต.ผู้ว่าเพราะนายอัมรินทร์ ถูกฟ้องว่า บุกรุกพื้นที่สาธารณะ แต่ศาลฎีกาบอกว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่สาธารณะ ก่อนที่ในอมรินทร์จะถูกดำเนินคดี บุกรุกและไล่ให้ออกจากพื้นที่ ผมไม่ได้มั่นใจว่าพื้นที่ข้อพิพาทจะถูกต้อง หรือไม่ก็ตามแต่ผมมั่นใจในคำพิพากษาของศาล ไม่มีหน่วยงานไหนจะเหนือกว่าคำพิพากษาของศาลฎีกา ต้องยอมรับว่าพื้นที่สค 1 ยังอยู่ในป่า ยังออกโฉนดได้เลย อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนยังออกโฉนดได้ไปดูข้อกฎหมายได้เลย ขอให้ผู้คัดค้านไปถูกกฎหมายที่ดิน สค 1 อยู่ในป่ายังออกโฉนดได้ สค 1 มาก่อนที่ นสร.ใช่หรือไม่ ขอยืนยันว่าที่สค 1 อยู่ก่อนที่ นสร.และที่นสรประกาศกี่ไร่ ต้องย้อนกลับไปถามหน่วยงานรัฐว่าออกพื้นที่โดยชอบหรือเปล่า และขอยืนยันว่าพื้นที่ดินดังกล่าวเป็นพื้นที่ดินต่อสค.1 / 222 และศาลมีคำพิพากษามิให้ขับไล่ออกจากพื้นที่
ในส่วน นายอัมรินทร์ถูกดำเนินคดี ติดคุก ไม่ใช่ถูกดำเนินคดีรุกที่สาธารณะ แต่ถูกดำเนินคดีตัดต้นไม้สัก ที่ไม่มีเอกสารติดบนเนื้อที่ 40 ไร่ ซึ่งมันคนละแปลงกัน วันนี้จะต้องเข้าสู่กระบวนการของกฎหมาย ได้ไปแจ้งความกักขังหน่วงเหนี่ยว นายอำเภอกับนายก และคนที่เกี่ยวข้องเพราะพวก ทั้งหมด ส่วนที่ 2 ในเมื่อรังวัดไม่ได้ มีการขัดขวางหน่วงเหนี่ยว กลุ่มของท่านนายกอบต.ผมมั่นใจว่าจริงอันไหนที่ทำผิดผมจะไม่ทำ วันนี้ประชาชนถูกรังแก ผมบอกว่าที่ดินมี 3,000 กว่าไร่ และพื้นที่ตรงนี้ มี สค1 ขอรางวัดแค่ 50 ไร่ เพียงแค่เอาไว้ให้ประชาชนดำรงชีพ และผมจะดำเนินคดีกับกลุ่มที่ขัดขวางเพื่อเป็นคดีตัวอย่างเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นรัฐรังแกประชาชน
นายณัฐพงศ์ อรชร/ข่าวนครราชสีมา