Think In Truth

ปัญญาทานบารมีคือคุณสมบัติแรกของ ชนชั้นนำยุคศิวิไลซ์ โดย: ฟอนต์ สีดำ



เรียนถึงท่านผู้อ่านครับ ด้วยที่ผมเองเกิดอาการสะโตก อันเกิดจากเส้นเลือดในสมองตีบ และเลือดข้น จนเกิดอาการแขนขาอ่อนแรง ซึ่งต้องเข้ารับการบำบัดอยู่ช่วงหนึ่ง จึงไม่มีงานเขียนออกมาให้ท่านได้ติดตาม เวลานี้อาการผมดีขึ้นและพอที่จะเขียนบทความเสนอต่อท่านผู้อ่านได้แล้ว และจะพยายามรักษาสุขภาพเพื่อสร้างงานเขียนบทบความเสนอต่อท่านผู้อ่านให้ยาวนานที่สุดครับ เมื่อคราวที่แล้วผมได้เขียนถึงคุณลักษณะของชนชั้นนำ(Elite) ไว้ และจะเริ่มอธิบายถึงรายละเอียดของคุณลักษณะของชนชั้นนำ(Elite)ในแต่ละด้านว่าเป็นอย่าไร

สังคมพุทธก่อนที่จะทำพิธีไหว้พระสวดมนต์ ชาวพุทธจะมีธูป เทียนและดอกไม้ไปบูชา ซึ่งธูปนั้นเป็นเครื่องบูชาพระพุทธเจ้า เพื่อให้ชาวพุทธได้ระลึกถึงคุณลักษณะของพระพุทธเจ้า ที่เป็นชนชั้นนำ (Elite) ในสังคมชาวพุทธ เพราะเป็นแบบอย่างให้กับพุทธศาสนิกชน โดยธูปทั้งสามดอกนั้น เป็นการบูชา พระปัญญาธิคุณ  พระวิสูทธิคุณ และพระกรุณาธิคุณ การบูชาพระพุทธด้วยธูปนั้น ต่อให้บูชาด้วยความเลื่อมไสศรัทธาอย่างไร แต่ก็ยังไม่สามารถเอาอย่างพุทธคุณจนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างดีนั้น ก็จะส่งผลต่อชีวิตได้มากนัก ดังนั้นการที่จะยกตนเองให้เป็นชนชั้นนำ (Elite) ในยุคศิวิไลซ์ จำเป็นต้องทำความเข้าใจ คิดวิเคราะห์ และสังเคราะห์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตได้ พุทธคุณนั้นจึงจะบังเกิด และส่งเสริมให้เป็นชนชั้นนำในสังคมยุคศิวิไลซ์ได้

ปัญญาบารมี เป็นพุทธคุณหนึ่งที่เกิดจากการบูชาพระพุทธด้วยธูป ดอกที่ 1 ที่เราชาวพุทธได้บูชาพระปัญญาธิคุณ ซึ่งเราจำเป็นต้องน้อมเอามาใส่ตัว คือการเอาอย่าง ที่ต้องสร้างปัญญาบารมีให้เกิดแก่ตน เพื่อการเอาชนะมาร ที่จะมาคอยรบกวนและขัดขวางความเจริญของเรา มารที่ยิ่งใหญ่หรือพญามารที่เป็นสิ่งขัดขวาง ทำร้าย ขวางกั้นความเจริญในการใช้ชีวิตของเรา คือ อวิชชา ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เราโง่เขลา และปล่อยให้กิเลสครอบงำเรา ดังนั้น การเอาชนะพญามารได้นั้น เราต้องสร้างปัญญาบารมีขึ้นมาขจัดพญามาร ด้วยการขจัดกิเลส ที่มาจากความโง่เขลา ซึ่งความโง่เขลาก็มีต้นเหตุมาจากอวิชชา

หลายคนก็คงจะงงๆ ว่า ผมได้เอาอะไรมาพูดว่า ซึ่งที่จริงแล้ว ประเทศไทยหรือชาวพุทธ มีการสืบทอดและถ่ายทอดปัญญาบารมี ต่อๆ  กันมาเป็นเวลามากกว่า 2500 ปี การสืบทอดการสร้างปัญญาบารมีที่พวกเรารู้จัก คือ การสวดพระคาถาบทพาหุง ที่ว่า พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง,ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท, ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ” บทนี้เป็นบทชัยมงคลคาถา บทแรก คือการเอาชนะพญามาร ด้วยการพิจารณาบารมี 30 ทัศ นั่นเอง

บารมี 30 ทัศ เป็นการพิจารณาและปฏิบัติปัญญาเพื่อเอาชนะมารมี 10 อย่าง ประกอบด้วย

1. ทานบารมี ระดับต้น ให้ทานสิ่งของ ระดับกลาง ให้ทานอวัยวะซึ่งหมายถึงกระทำด้วยอวัยวะ ระดังสูง คือให้ทานด้วยชีวิต คือมอบกายถวายชีวิตเพื่อสิ่งนั้นๆ

2. ศีลบารมี ระดับต้น คือ รับศีล  ระดับกลาง คือ น้อมรับศีลเข้ามาใส่ตัว  ระดับสูง คือ การถือศีลปฏิบัติตลอดชีวิต

3. เนกขัมมะบารมี ระดับต้น ได้เข้าบวช(เข้าศึกษาพระพุทธศาสนา) ระดับกลาง คือได้เข้าบวช(เข้าศึกษาพระพุทธศาสนา)ด้วยใจศัทธา ระดับสูง ได้เข้าบวช(เข้าศึกษาพระพุทธศาสนา)เป็นเนื้อนาบุญในพระพุทธศาสนาตลอดชีวิต

4. ปัญญาบารมี ระดับต้น คือ เรียนรู้เข้าใจ ระดับกลาง คือ คิดวิเคราะห์อย่างแจ่มแจ้ง  ระดับสูง คือ สังเคราะห์เพื่อนำมาปฏิบัติในชีวิต

5. วิริยะบารมี ระดับต้น คือ ให้ความพยายามขยันหมั่นเพียร  ระดับกลาง คือ มีความรู้สึกมุ่งมั่น ขยันหมั่นเพียร  ระดับสูง  มีความพยายามขยันหมั่นเพียรเป็นสันดาน

6. ขันติบารมี  ระดับต้น มีความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว  ระดับกลาง มีความอดทนอดกลั้นด้วยความเข้าใจ  ระดับสูง มีความอดมนอดกลั้นด้วยความรู้สึกนิกคิดเป็นพรหมที่มีพรหมวิหาร

7. สัจจบารมี  ระดับต้น มีสัจจะด้วยสัญญา  ระดับกลาง  มีสัจจะด้วยหน้าที่  ระดับสูง มีสัจจะด้วยระลึกในสันดาน

8. อธิษฐานบารมี  ระดับต้น เอ่ยคำอธิษฐานถึงสิ่งที่จะทำในข้างหน้า  ระดับกลาง ระลึกถึงสิ่งที่จะทำเวลานั้น  ระดับสูง ตระหนักถึงสิ่งที่จะทำและผลของการกระทำตลอดเวลา

9. เมตตาบารมี  ระดับต้น มีความปราณาดีต่อผู้อื่นด้วยสัญญา  ระดับกลาง มีความปรารถนาดีด้วยการระลึกได้  ระดับสูง มีความปรารถนาดีด้วยความตระหนักตลอดเวลา

10. อุเปกขาบารมี  ระดับต้น ให้ความนิ่งเฉย  ระดับกลาง  ให้ความนิ่งเฉยอย่างเข้าใจ  ระดับสูง ให้ความนิ่งเฉยอย่างผู้มีปัญญา คือนิพพานในเรื่องนั้นๆ

บารมี 30 ทัศ นั้นประกอบด้วย บารมี 10 อย่าง ที่แต่ละอย่างนั้นมี 3 ระดับ รวมแล้ว เป็นบารมี 30 ทัศ ซึ่งเป็นคุณลักษณะของบุคคลที่จะเป็นชนชั้นสูง Elite ในยุคศิวิไลซ์ ที่ไม่ยากเกินกว่าที่จะพัฒนา หากสังคมเราได้พัฒนาตนสร้างบารมี 30 ทัศให้เกิดแก่ตน ก็จะสามารถยกระดับของตนเองให้เป็นชนชั้นนำ หรือ Elite ได้ไม่ยากเย็น

ปัญญาที่เกิดกับชนชั้นนำแล้ว ต้องให้ทาน ตามบทสวดที่ว่า ทานาทิธัมมะวิธินา ชิต๎วา มุนินโท ต้นเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานี" การให้ทานปัญญาแก่หมู่มารทั้งหลาย ย่อมเกิดประโยชน์แก่เหล่ามารที่จะน้อมรับเอาปัญญาเหล่านั้นเข้ามาปฏิบัติ นั่นเป็นทานที่สามารถให้ได้ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเป็นหนทางแห่งการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่จะสร้างสังคมแห่งปัญญา และเกิดความสันติสุขอย่างนิรันดร์