Authority & Harm

ไข่เล็ก!จอมโจรไขควงเดียว'ไทยสยาม' จนมุมตร.สืบสวนสภ.เมืองสิงห์บุรีอีกครั้ง



สิงห์บุรี-สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2566  เวลา 14.16 น. ได้มีคนร้ายใส่วิกผม สวมหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้า สวมหมวกแก๊ป ใช้รถกระบะ ยี่ห้ออิซูซุ สีขาว ติดแผ่นป้ายทะเบียนซึ่งภายหลังสืบทราบว่าเป็นทะเบียนปลอม ขับขี่มาจอดในตลาดห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 100 เมตร เข้ามางัดแงะลักทรัพย์ภายในบ้านเจ้าของร้านกุนเชียงเจ้าดังในตลาดสิงห์บุรี ได้ทรัพย์สินรวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท โดยคนร้ายได้ปีนขึ้นไปยังชั้นที่ 2 และ 3 ของร้านที่เกิดเหตุและงัดประตูห้องเข้าไปลักทรัพย์สินของมีค่ากว่า 10 รายการ หลังจากก่อเหตุได้ขับขี่รถคันดังกล่าวหลบหนีไป

จากการสืบสวนของ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนเมืองสิงห์บุรี จ.สิงห์บุรี ได้แกะรอยจากกล้องวงจรปิด และสืบค้นจนพบว่าทะเบียนรถที่แท้จริงของรถกระบะคันที่คนร้ายใช้ก่อเหตุนั้น ผู้ครอบครองคือ นางทิพวัลย์ (สงวนนามกุล) ซึ่งเป็นภรรยาของ นายศราวุธ ไทยสยาม อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 49/115 ม.6 ต.ลำโพ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เมื่อตรวจสอบประวัติของ นายศราวุธ พบว่าเคยกระทำความผิดเกี่ยวกับการลักทรัพย์หลายคดีและเพิ่งพ้นโทษออกมาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนของ สภ.เมืองสิงห์บุรี ได้แกะรอยจนพบว่า คนร้ายรายนี้คือ นายศราวุธ ไทยสยาม ชื่อเล่น ไข่เล็ก เป็นคนร้ายชื่อดังจากการเข้างัดแงะลักทรัพย์สินภายในบ้านของเจ้าทุกข์หลายราย หลายจังหวัด จึงได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนนครบาล

นำโดย พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. หรือ “สารวัตรแจ๊ะ” เฝ้าติดตามจนจับกุมตัวได้หลังจากที่ก่อเหตุลักทรัพย์ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังจากนั้นนายศราวุธฯ ได้ประกันตัวแล้วหลบหนีประกัน และกลับมาก่อเหตุลักษณะเดียวกันที่ จ.สมุทรสงคราม เจ้าหน้าที่ตำรวสืบสวนสมุทรสงคราม จึงได้ประสานความร่วมมือด้านการข่าวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนเมืองสิงห์บุรี จนสามารถร่วมกันติดตามจับกุมตัวได้ และได้นำตัวมาสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดสิงห์บุรี ในวันที่ 8 มกราคม 2568 เวลา 18.00 น. โดยมี นางทิพวัลย์ ฯ ผู้ที่เป็นภรรยา และพรรคพวก ได้ตามมาที่ สภ.เมืองสิงห์บุรี และได้พยายามกันไม่ให้นักข่าวสัมภาษณ์แต่อย่างใด

สำหรับประวัติของ นายศราวุธ นั้นมีฉายาคือ “จอมโจรไขควงเดียว” เอกลักษณ์เฉพาะคือจะใช้เพียง “ไขควงเดียว” ในการงัดแงะเข้าไปในบ้านที่ก่อเหตุ และมีเทคนิคเฉพาะคือ “บนลงล่าง” กล่าวคือจะปีนขึ้นไปบนหลังคา จากนั้นงัดกระเบื้องมุงหลังคา แล้วสอดตัวลงไปใต้หลังคา เปิดฝ้าเพดาน แล้วหย่อนตัวลงไปขโมยทรัพย์สิน และที่เป็นที่น่าจดจำคือ หลังก่อเหตุคนร้ายจะใช้ชีวิต กินหรู อยู่สบาย มีบ้านหรู กล่าวย้อนกลับไปในสมัย พ.ศ.2549 ได้เกิด “แก๊งตีนแมว” ออกอาละวาดก่อเหตุ “ย่อง” เข้าไปขโมยของในบ้านของประชาชนในพื้นที่ กรุงเทพฯและปริมณทล โดนกันแบบรายวัน กวาดทรัพย์ไปรวมทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 29 ล้านบาท จนปลายปี พ.ศ.2549

เจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถจับกุมแก๊งตีนแมวแก๊งนี้ได้ คือ “สี่พี่น้องตระกูลไทยสยาม” ซึ่งต่อมาก็ได้เข้ารับโทษในเรือนจำและพ้นโทษกลับมาเข้าสู่สังคม แต่ นายศราวุธ ไทยสยาม หรือ “ไข่เล็ก” น้องคนเล็กยังคง “ลุ่มหลง” ในเส้นทางสายโจร ออกบินเดี่ยวด้วยวิชาความรู้ความชำนาญที่มากขึ้น จนมาถูกจับกุมอีกครั้ง เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 55 ในพื้นที่ สภ.ปากช่อง เมื่อพ้นโทษออกมาก็ยังมั่นคงในเส้นทางสายเดิม จนมาถูกจับกุมครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 61 ในพื้นที่ สภ.เมืองสุพรรณบุรี เรียกได้ว่า เส้นทางสายโจรได้ฝังไปอยู่ใน DNA ของ นายศราวุธ ไทยสยาม ไปแล้ว โดยล่าสุด นายศราวุธฯ ได้พ้นโทษออกมาเมื่อปี 65 ก็ยังตระเวนก่อเหตุไม่เลิกรา แต่ในครั้งนี้ ตัว นายศราวุธฯ มีการพัฒนารูปแบบการก่อเหตุจนเป็น “ตีนแมวขั้นเซียน” ก่อเหตุอย่างแนบเนียน รู้ช่องทางการหลบหลีกเจ้าหน้าที่อย่างทะลุปรุโปร่ง มีความละเอียดรอบคอบ มีความรู้วิชาโจรขั้นสุด การออกล่าคัดเลือกจุดที่จะก่อเหตุของคนร้าย จะเลือกสถานที่ก่อเหตุที่มีลักษณะเป็น “อาคารพาณิชย์” แบบเก่า ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่คนพลุกพล่าน เช่น ตลาดหรือตัวอำเภอ โดยอาคารต้องมีประตูทางเข้าด้านหลัง และมี “ตรอก” และที่สำคัญคือ “ต้องไม่มีคนอยู่” เมื่อเจอจุดที่ถูกใจจะทำการ “เฝ้าดู” นับกล้องวงจรปิดทุกตัวในเส้นทาง จำลองและซักซ้อมเส้นทางก่อน-หลัง ก่อเหตุ

และหากมีสิ่งสะกิดใจเพียงเล็กน้อยก็จะไม่ลงมือ เรียกได้ว่า “ไม่ 100% ไม่ก่อเหตุ” และคนร้ายยังมีเทคนิคการตัดช่องทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี ทำให้ปฏิบัติการใช้เวลาต่อเนื่องหลายวัน จนเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 66 เวลา 21.00 น. คนร้ายได้ก่อเหตุอีกครั้ง โดยได้ลักทรัพย์ที่อาคารพาณิชย์แบบเก่าแห่งหนึ่ง ต.หอรัตนไชย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ในชั้นจับกุม นายศราวุธ ไทยสยาม ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ตนเป็นคนจังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมได้เดินทางมาอาศัยเรียนปริญญาตรีที่กรุงเทพฯ หลังจากจบปริญญาตรีได้ทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง แต่เห็นว่าได้เงินน้อยและไม่พอใช้ จึงเดินทางเข้าสู่สายตีนแมว โดยเริ่มขโมยจากของเล็กๆ น้อยๆ เรื่อยมาจนมีชื่อเสียงและชื่อแก๊งว่า “แก๊งไทยสยาม”

ซึ่งมาจากนามสกุลเดียวกันเพราะทั้งหมดเป็นพี่น้องกัน จนวันหนึ่งประมาณปี 2548-2549 ตนได้เข้าไปขโมยของในบ้านย่านยานนาวา ได้ทรัพย์สินต่างๆ รวมหลายล้านบาท โดยเป้าหมายของการเข้าขโมยคือ เงิน ทอง เครื่องเพชรและพระที่มีมูลค่า จากการขโมยครั้งนั้นได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ติดตามตนจนเจอทำให้ตนและพี่ๆ ของตนอีกสามคนถูกจับกุมด้วย ซึ่งหลังจากถูกจับก็เข้าไปอยู่ในเรือนจำได้เรียนรู้ความผิดพลาดต่างๆ และเมื่อได้พ้นโทษออกมาแล้วก็ยังติดนิสัยเดิม จึงไปก่อเหตุอีกและถูกจับอีก 2 ครั้ง ซึ่งทุกครั้งก็ได้เรียนรู้วิชามากขึ้นเรื่อยๆ และการก่อเหตุครั้งนี้ ตนคิดว่าได้เตรียมการก่อเหตุเป็นอย่างดี เพราะตนได้มีวิธีการหลบเลี่ยงหลายอย่าง ซึ่งวิชาที่กล่าวมาตนได้วิชามาจากที่ตนได้ติดคุกอยู่ในเรือนจำ ตนเคยติดคุกมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ครั้งนี้คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมาถูกจับแบบคาหนังคาเขาแบบนี้ รู้สึกงงมาก และขอให้คำมั่นต่อตำรวจชุดจับกุมว่าหากพ้นโทษออกมาแล้ว จะไม่ก่อเหตุอีกเพราะไม่อยากติดคุกอีกแล้ว โดยเตือนไปยังประชาชนว่าหากไม่อยากถูกขึ้นบ้านต้อง เลี้ยงหมา และไม่เก็บทรัพย์สินไว้ในบ้าน” 

ไม่มีสัจจะในหมู่โจร คำนี้ไม่เกินจริง เพราะหลังจากที่ นายศราวุธฯ ได้ประกันตัวจากการก่อเหตุลักทรัพย์ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในครั้งนั้น ก็ได้หลบหนีประกัน และกลับมาก่อเหตุลักษณะเดียวกันที่ จ.สมุทรสงคราม เจ้าหน้าที่ตำรวชุดสืบสวนสมุทรสงคราม จึงได้ประสานความร่วมมือด้านการข่าวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนเมืองสิงห์บุรี จนสามารถร่วมกันติดตามจับกุมตัวได้ และได้นำตัวมาสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรเมือง จังหวัดสิงห์บุรี เพื่อดำเนินคดีต่อไป ซึ่งหลังจากที่ นายธีรพงศ์ วรอวยชัย และครอบครัวเจ้าของร้านกุนเชียงชื่อดังในตลาดสดเทศบาลสิงห์บุรี ที่ถูกคนร้ายลักทรัพย์ไปกว่า 1 ล้านบาท ทราบว่าจับคนร้ายได้แล้วก็มีความดีใจเป็นอย่างยิ่งพร้อมทั้งพานักข่าวไปชี้ที่เกิดเหตุเป็นตรอกเล็กๆ หลังบ้านที่คนร้ายใช้เป็นเส้นทางในการลักทรัพย์ในครั้งนั้น

จินตนา ปานมี ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สิงห์บุรี