EDU Research & Innovation
มหาวิทยาลัยเซนต์จอร์จเผย5แนวทางAI ที่จะผลักดันวงการแพทย์ไทย

กรุงเทพฯประเทศไทย – 23 มกราคม 2568 - ในยุคที่วงการสุขภาพมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วการนำ AI เข้ามาประยุกต์ใช้กลายเป็นตัวช่วยสำคัญที่เปลี่ยนแปลงวิธีการดูแลผู้ป่วยของบุคลากรทางการแพทย์อย่างสิ้นเชิง มหาวิทยาลัยเซนต์จอร์จ (SGU) คณะแพทยศาสตร์ในประเทศเกรนาดาหมู่เกาะเวสต์อินดิสได้เผยถึง 5 วิธีการนำนวัตกรรม AI มาใช้ในวงการแพทย์ซึ่งจะช่วยให้นักศึกษาแพทย์ไทยมีความพร้อมและแข่งขันได้ในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ
1. การช่วยวินิจฉัยโรค
ระบบ AI ถูกนำมาใช้วิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์เช่นภาพถ่าย X-rays และ MRI เพื่อช่วยวินิจฉัยโรคต่าง ๆ เช่นโรคมะเร็งโรคตาและโรคปอดอักเสบ (pneumonia) ส่วนในด้านโรคหัวใจตัวอัลกอริทึม deep learning จะสามารถวินิจฉัยอาการหัวใจวายได้ในระดับใกล้เคียงกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้เครือข่าย AI ที่ได้รับการฝึกด้วยภาพทางคลินิกยังช่วยวินิจฉัยโรคทางผิวหนังได้อีกด้วย โดยสามารถชี้แจงความผิดปกติของผิวหนังได้อย่างแม่นยำงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า AI สามารถวินิจฉัยโรคได้รวดเร็วและแม่นยำในระดับที่เทียบเท่าหรือดีกว่าผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์
2. หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด
AI ช่วยเสริมการตัดสินใจในการผ่าตัดโดยการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่นแนวทางการผ่าตัดและข้อมูลจากงานวิจัยโดยหุ่นยนต์ผ่าตัดที่ใช้ AI ช่วยให้ศัลยแพทย์สามารถทำการผ่าตัดได้แม่นยำยิ่งขึ้นอย่างการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็กหรือที่เรียกว่า Minimally Invasive Surgery ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการพักฟื้นในโรงพยาบาลผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้นและลดอาการเจ็บปวดจากการผ่าตัด
3. การศึกษาและการฝึกอบรมทางการแพทย์
โรงเรียนแพทย์นำเครื่องมือ AI มาประยุกต์ใช้ในโปรแกรมแพทยศาสตรบัณฑิต (MD):
- AI สำหรับผู้เรียน: เครื่องมือที่ช่วยให้นักศึกษาแพทย์สามารถเรียนรู้และเข้าใจข้อมูลใหม่ได้
- AI สำหรับผู้สอน: เครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้สอนมอบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับนักศึกษาและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในห้องเรียน
- AI สำหรับสถาบัน: เครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการโรงเรียนและโปรแกรมการศึกษา
ระบบการศึกษาแพทยศาสตร์นำ AI มาใช้ในแพลตฟอร์ม Adaptive Learning รวมไปถึงการจำลองสถานการณ์ด้วย AI (AI-powered simulation) และนำเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงมาใช้ (virtual reality environments) ซึ่งช่วยให้นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติงานทางการแพทย์ได้อย่างปลอดภัยและได้มีส่วนร่วมในสถานการณ์ทางการขึ้นคลินิกยิ่งไปกว่านั้น AI ยังช่วยพัฒนาหลักสูตรโดยการระบุจุดที่สามารถปรับปรุงได้และนำข้อมูลใหม่ ๆ มาปรับใช้ในหลักสูตรแพทยศาสตร์
4. เทคโนโลยีประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural language processing: NLP) สำหรับข้อมูลทางการแพทย์
ระบบ NLP เป็นเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่สามารถช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและจัดระเบียบข้อมูลทางการแพทย์ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้อนคำสั่งคอมพิวเตอร์ (Coding) พัฒนาระบบการเรียกเก็บเงินรวมไปถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูลระบบ NLP เหล่านี้ช่วยแปลงข้อมูลให้เป็นระเบียบมากขึ้นสามารถนำไปใช้ได้ทันที ทำให้กระบวนการเรียกเก็บเงินและการป้อนคำสั่งคอมพิวเตอร์เป็นระบบอัตโนมัติ และมอบข้อมูลสำคัญให้แก่ผู้ปฏิบัติงานทางการแพทย์โดยสามารถชี้จุดที่อาจเป็นปัญหาและแนะนำทางเลือกในการรักษาได้
5. การศึกษาเกี่ยวกับยีน (Genomics)
AI ปฏิวัติวงการการศึกษาเกี่ยวกับยีน (Genomics) ด้วยการยกระดับการวิเคราะห์การแปลผลและการประยุกต์ใช้ข้อมูลทางชีววิทยาอัลกอริทึม AI สามารถถอดรหัสยีนได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งกว่าผู้เชี่ยวชาญทั้งยังช่วยระบุรูปแบบและการกลายพันธุ์ได้ในระดับดีเอ็นเอนอกจากนี้ยังมีอัลกอริทึม Machine learning ที่ช่วยคาดการณ์ความเสี่ยงของโรคได้ โดยอ้างอิงจากลักษณะทางพันธุกรรมและการตอบสนองต่อยาหรือต่อการบำบัดของผู้ป่วย ซึ่งมีผลต่อการวางแผนการรักษาแบบเฉพาะบุคคล
Dr. Anna Cyrus-Murden รองคณบดีฝ่ายการจำลองสถานการณ์เสมือนจริงแผนกทักษะคลินิกที่ SGU กล่าวว่า “การนำ AI เข้ามาใช้ในวงการแพทย์สามารถช่วยเสริมพลังให้กับผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ผ่านเครื่องมือที่ทันสมัย ไม่ใช่การทดแทนโดยช่วยปรับปรุงการทำงานของบุคลากรในช่วงเวลาที่มีการขาดแคลนแพทย์มากไปกว่านั้น AI ยังมีศักยภาพในการปรับปรุงผลลัพธ์ลดความเหลื่อมล้ำในการรักษา และพัฒนาการดูแลผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพและมุ่งเน้นผู้ป่วยเป็นหลัก นอกจากนี้ AI ถูกนำมาประยุกต์ใช้ตั้งแต่การวินิจฉัยโรคไปจนถึงการรักษาเฉพาะบุคคลและการให้ข้อมูลกับผู้ป่วย AIยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในวงการแพทย์เนื่องจากมีการค้นพบความสามารถใหม่ๆและนำนวัตกรรมมาใช้อยู่เรื่อยๆ”
SGU ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาการศึกษาแพทยศาสตร์และนวัตกรรมต่างๆสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SGU