Think In Truth

บทพิสูจน์...'อเมริกา-จีน' ใคร? คือมิตรแท้ มิตรเทียม โดย : ยศเสธ



ขอย้อนรอยครั้งเกิดสงครามเวียดนาม หรืออีกชื่อหนึ่งว่า สงครามอินโดจีนครั้งที่ 2  และในเวียดนามเรียกว่า สงครามต่อต้านอเมริกา หรือเรียกง่าย ๆ ว่า สงครามอเมริกา เป็นความขัดแย้งในเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2498จนกรุงไซ่ง่อนถูกยึด เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2518

 

ทั้งนี้โดยเวียดนามเหนือได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต และจีน และประเทศพันธมิตรฝ่ายลัทธิคอมมิวนิสต์อื่น ส่วนเวียดนามใต้ได้รับการสนับสนุนโดยสหรัฐ เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย ไทย และประเทศพันธมิตรฝ่ายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อื่นบางคนถือสงครามนี้เป็นสงครามตัวแทนในยุคสงครามเย็น ซึ่งกินระยะเวลาถึง 19 ปี โดยการมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงของสหรัฐสิ้นสุดลงในปี 2516 และรวมไปถึงสงครามกลางเมืองลาว และสงครามกลางเมืองกัมพูชาซึ่งจบลงด้วยทั้งสามประเทศได้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ในปี 2518

ต่อมาในปี 2521 หรือเมื่อ 47 ปีที่ผ่านมาได้เกิดสงครามในภูมิภาคอีกครั้งโดยจีนได้บุกโจมตีเวียดนาม และคงต้องมึนงงสงสัยว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรเพราะทั้งจีนและเวียดนามต่างก็ปกครองประเทศในระบบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์ด้วยกันทั้งสองประเทศและที่สำคัญจีนก็เคยสนับสนุนเวียดนามมาก่อน

ความจริงก็คือหลังจากที่สหรัฐอเมริกาพ่ายแพ้สงครามเวียดนาม ทางทหารเวียดนามได้ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ อันทันสมัยไว้มากมาย ทั้งเครื่องบินรบ รถถัง ปืนใหญ่และอาวุธประจำกาย ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดของโลกในขณะนั้นทำให้กองทัพเวียดนามแข็งแกร่งขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลกทหารเวียดนามจึงมีความกระหายสงครามเป็นอย่างยิ่ง ประกาศจะตราทัพเข้ายึดลาว กัมพูชาและไทยต่อทันทีและผลปรากฏว่าในเวลาเพียงไม่นาน ทั้งลาวและกัมพูชา ก็ตกเป็นของเวียดนาม

 

ภาพ : นายพลโว เหงียนเกี๊ยบ

นายพลโว เหงียนเกี๊ยบ ผู้บัญชาการกองทัพเวียดนามได้มีความเจ็บแค้นมากที่ไทยยอมให้สหรัฐอเมริกา มาตั้งฐานทัพและใช้เครื่องบินรบ บินขึ้นจากสนามบินอู่ตะเภา และสนามบินใน จ.อุบลราชธานี ขนระเบิดไปถล่มเวียดนามนับหมื่นเที่ยวบินจึงขนอาวุธทุกชนิดและรถถังจำนวนมากมาประชิดชายแดนไทยเป็นแนวยาวหลายร้อยกิโลเมตรพร้อมประกาศว่า จะนำทหารเข้าไปกินข้าวที่กรุงเทพฯ ให้ได้ภายใน 3 วัน

หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชนายกรัฐมนตรีไทยในขณะได้เรียกประชุมด่วนและขอให้ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแจ้งไปยังสหรัฐอเมริกาว่า เรากำลังจะถูกเวียดนามบุกหากแต่ทางด้านสหรัฐอเมริกา ตอบกลับมาว่า ขอให้เราช่วยตัวเอง เพราะสหรัฐฯเพิ่งถอนทัพจากเวียดนาม ไม่อาจช่วยอะไรได้อีกต่อไป อีกทั้งรัฐบาลไทยได้ขอใช้อาวุธที่ยังตกค้างอยู่ที่ไทยแต่สหรัฐฯก็ไม่อนุญาตให้ไทยใช้อาวุธของอเมริกันที่ตกค้างจากสงครามและฝากเก็บไว้ในดินแดนไทยแม้แต่ชิ้นเดียว

โดยสรุป ก็คือ นอกจากสหรัฐฯจะไม่ช่วยทางด้านกำลังพลแล้วยังไม่ยินยอมให้ใช้อาวุธตกค้างที่ไทยได้ช่วยเก็บรักษาไว้ให้อีกด้วย ซึ่งถ้าว่ากันตามข้อเท็จจริงแล้วถ้าหากเวียดนามยึดไทยได้ก็คงยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมดไปด้วยเช่นกัน ซึ่งจากการแสดงท่าทีและจุดยืนอย่างนั้นได้แสดงให้เห็นธาตุแท้สหรัฐฯว่าเป็นอย่างไร

หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ได้เรียกประชุมผู้นำเหล่าทัพทันที และถามในที่ประชุมว่า ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ตอนนี้ เราจะสู้เวียดนามได้กี่วัน .... เหล่าผู้บัญชาการทหารของกองทัพไทยตอบว่าประมาณ 4 วัน (มากกว่าที่นายพลเวียดนามบอกไว้ 1 วัน)หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ หันไปบอกกับพลเอกชาติชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า...เราต้องรีบไปจีนด่วนที่สุด

 

ภาพ : เติ้ง เสี่ยวผิง

ประโยคแรกที่“โจวเอินไหล”ทักทายพลเอกชาติชาย ก็คือ “เป็นไงบ้างหลานรัก” (พ่อของพลเอกชาติชาย คือ พลเอกผิน เป็นเพื่อนร่วมรบกับโจวเอินไหลในครั้งสงครามเชียงตุง)นับว่าเป็นการรื้อฟื้นความสัมพันธ์อย่างชี่นมื่น ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเราไปให้ความสำคัญกับไต้หวันมากกว่าจีนแผ่นดินใหญ่ รับรองไต้หวันเป็นประเทศแต่โจวเอิน ไหลไม่คิดมากและยังเปิดโอกาสให้ได้พบกับ “เหมาเจ๋อตุง”ประธานพรรคคอมมิวนิสต์ และ“เติ้ง เสี่ยวผิง”รองนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งได้รับการวางตัวให้เป็นผู้นำจีนรุ่นต่อไป

กล่าวว่า หลังจากที่เวียดนามวุ่นวายกับลาวและกัมพูชาอยู่ 2 ปี ในเดือนมิถุนายน 2521 เวียดนามก็ได้ยกกำลังพล 400,000 นาย พร้อมอาวุธทันสมัยที่สุดในยุคนั้น เตรียมบุกไทยโดยตั้งทัพประชิดชายแดนด้านอรัญประเทศ

 

ภาพ : ชวลิต ยงใจยุทธ

ทางรัฐบาลได้มอบหมายให้ พันเอกชวลิต ยงใจยุทธ เดินทางไปจีน เพื่อขอความช่วยเหลือตามที่ มรว.คึกฤทธิ์ได้กรุยทางไว้ทางฝ่ายเสนาธิการทหารของจีนได้ประชุมกันและแนะนำว่า ควรปล่อยให้เวียดนามบุกเข้ายึดกรุงเทพฯ ก่อน แล้วค่อยส่งกองทัพจีนตามไปปลดแอกให้ แต่“เติ้งเสี่ยวผิง” ลุกขึ้นตบโต๊ะในที่ประชุม แล้วกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ช่วยเหลือมิตร ต้องช่วยให้ทันการณ์”

เดือนพฤศจิกายน 2521 เติ้งเสี่ยวผิงเดินทางมาดูสถานการณ์ที่ประเทศไทย และรีบกลับไปทันทีหลังจากนั้น 2 เดือน ในเดือนมกราคม 2522 กองทัพจีนพร้อมกำลังพล 500,000 นายรถถัง 5,000 คัน เครื่องบิน 1,200 ลำได้เปิดสงครามสั่งสอนเวียดนาม(หาอ่านได้ในประวัติศาสตร์: ไทยกับกรณีจีนทำสงครามสั่งสอนเวียดนาม)

 

ภาพ : แผนที่เมืองในเวียดนามที่จีนโจมตี

กองทัพจีน เข้าตีทางภาคเหนือของเวียดนามอย่างรุนแรง เวียดนามถอนทัพที่ประชิดชายแดนไทย กลับไปรับศึกจีนจีนรุกไปถึงฮานอย จนทหารเวียดนามเสียชีวิตประมาณ 50,000 นาย และ เวียตนาม ถอนทัพกลับในทันที โดยใช้เวลาทั้งหมดเพียง 16 วันนั้น

ย้อนไปเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาแตก ราชสำนักชิง รีบส่งข้าหลวง ลงเรือสำเภามาดูสถานการณ์ในไทย และ ให้รายงานต่อราชสำนักทางปักกิ่ง อยู่ตลอดเวลา ในบันทึกภาษาจีนเขียนไว้ว่าจักรพรรดิเฉียนหลง ทรงประสงค์จะรู้ข่าวคราว ของสยามถึงขนาดกระวนกระวาย เรียกประชุมกลางดึกหลายครั้ง จะเห็นได้ว่า จักรพรรดิจีนทรงให้ความสำคัญกับสยามเพียงใด

ในจดหมายเหตุของราชวงศ์ชิงได้บันทึกถึง ครั้งที่จีนยกทัพตีภาคเหนือของพม่าไว้ว่าขณะที่กองทัพจีนบุกพม่า จักรพรรดิเฉียนหลง ได้ทรงติดต่อกับ “เจิ้งเจา” (สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ) หลายครั้ง ดังนั้นข้อสงสัยที่ว่า จีนยกทัพตีพม่า ก็เพื่อดึงทัพของเนเมียวสีหบดีกลับไป ย่อมจะเป็นจริงเพราะถ้าทัพใหญ่ของพม่ายังคงอยู่ที่อยุธยา กองทัพพระเจ้าตากฯ ซึ่งมีทหารเพียงหลักพันนายเท่านั้น ย่อมไม่มีทางจะเอาชนะได้เลยและ ชาติไทยก็อาจจะหายไปจากแผนที่โลกในปัจจุบันก็ได้

กล่าวได้ว่าตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งพันปี ที่ผ่านมา เห็นได้ว่าจีนให้ความสำคัญกับไทยมากในฐานะมิตรประเทศที่มีความผูกพันอย่างแนบแน่นนี่คือคุณูปการที่ผู้นำทำเพื่อบ้านเมืองและตามตำราพิชัยสงครามที่ว่า

“รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”