In Global

จีน-ไทยต้องเร่งเพิ่มความร่วมมือปราบอาชญากรรมทางโทรคมนาคม-อินเทอร์เน็ต



ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาชญากรรมทางโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตได้กระจายสร้างความเสียหายในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มมิจฉาชีพใช้เครือข่ายข้ามชาติและเทคโนโลยีขั้นสูงในการก่ออาชญากรรม ซึ่งเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความปลอดภัยในทรัพย์สินของประชาชนในแต่ละประเทศ

สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญต้องเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมประเภทนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "กรณีหวังซิง" ซึ่งกลายเป็นข่าวดังเมื่อไม่นานมานี้ ได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกปลอดภัยของนักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างรุนแรง และทำให้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของไทยเสียหาย ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยเสื่อมเสียในเวทีนานาชาติเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งความท้าทายต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีน-ไทยและความมั่นคงของภูมิภาคอีกด้วย ดังนั้น การกระชับความร่วมมือระหว่างจีนและไทยในการปราบปรามอาชญากรรมทางโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน

เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไทยเห็นชอบให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดฉบับหนึ่งที่มุ่งเน้นการเพิ่มโทษต่อการกระทำผิดบนแพลตฟอร์ม P2P ควบคุมการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเข้มงวด และกำหนดให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ธนาคาร และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต้องรับผิดชอบต่อผู้เสียหายมากขึ้น มาตรการนี้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยตระหนักถึงความร้ายแรงของอาชญากรรมทางโทรคมนาคมและมุ่งมั่นที่จะใช้มาตรการที่แข็งแกร่งเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของอาชญากรรมดังกล่าว

ในขณะเดียวกัน ตำรวจจีนและไทยได้เพิ่มความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร่วมกันปราบปรามกลุ่มมิจฉาชีพในพื้นที่เมียววดี ประเทศเมียนมา

ตามข้อเสนอ 6 ประการของกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ทั้งสองฝ่ายจะเน้นการปราบปรามห่วงโซ่ทางการเงินของกลุ่มมิจฉาชีพ ปิดกั้นเส้นทางลักลอบขนส่งสิ่งผิดกฏหมาย และจะตั้งศูนย์ประสานงานจีน-ไทยเพื่อปราบปรามอาชญากรรมทางโทรคมนาคม เพิ่มประสิทธิภาพในการจับกุมตัวผู้ร้ายอย่างรวดเร็ว และลดผลกระทบของอาชญากรรมต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังมีแผนที่จะร่วมมือกับจีนในการตั้งคณะทำงานร่วมกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรรม และเพิ่มความเข้มงวดในการปราบปรามองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงใช้มาตรการเข้มงวดในการควบคุมการไหลออกของทรัพย์สินของกลุ่มมิจฉาชีพ

"กรณีหวังซิง" ทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นตระหนักถึงอันตรายร้ายแรงของอาชญากรรมทางโทรคมนาคม อาชญากรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ แต่ยังมักเกิดขึ้นพร้อมกับการกระทำอันเลวร้ายอื่นๆด้วย เช่น การค้ามนุษย์และการข่มขู่ด้วยความรุนแรง ซึ่งส่งผลให้เหยื่อต้องสูญเสียอย่างไม่อาจกู้คืนได้

รัฐบาลจีนได้ให้ความสำคัญกับการปราบปรามอาชญากรรมทางโทรคมนาคมมาโดยตลอด และเพิ่มความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อจับกุมและลงโทษผู้กระทำผิดให้มากขึ้น การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างจีนและไทยในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังย่อมส่งผลดีต่อการจัดการอาชญากรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยรวมอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การปราบปรามอาชญากรรมทางโทรคมนาคมไม่สามารถสำเร็จได้ในเวลาอันสั้น ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องเพิ่มความร่วมมือในการแบ่งปันข้อมูลและการบังคับใช้กฎหมาย นอกเหนือจากการลงโทษกลุ่มอาชญากรอย่างเข้มงวดแล้ว ยังต้องดำเนินมาตรการป้องกันจากต้นตอของปัญหา เช่น การเพิ่มมาตรการควบคุมอินเทอร์เน็ต ควบคุมธุรกรรมทางการเงิน และเพิ่มการตรวจสอบในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ตลอดจนยกระดับความตระหนักรู้ของประชาชนเกี่ยวกับการป้องกันการฉ้อโกงทางโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต มีแต่ทุกประเทศร่วมมือกันและสร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพในระยะยาวเท่านั้นจึงจะสามารถกำจัดปัญหาการฉ้อโกงทางไซเบอร์ข้ามพรมแดนได้อย่างแท้จริง

ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญในจีนและไทยต่างเห็นพ้องต้องกันว่าการเพิ่มความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมทางโทรคมนาคมระหว่างสองฝ่ายนั้นเป็นแนวโน้มที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นมาตรการสำคัญในการรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของประชาชนทั้งสองประเทศ แต่ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยวไทยและส่งเสริมความมั่นคงของภูมิภาคด้วย

หวังว่าด้วยความร่วมมือจีน-ไทยและประชาคมระหว่างประเทศ จะสามารถกำจัดอาชญากรรมทางโทรคมนาคมให้หมดไปโดยเร็ว และสร้างคุณูปการให้กับเสถียรภาพและความปลอดภัยในโลกไซเบอร์

เขียนโดย ภาคภาษาไทย ศูนย์เอเชียแอฟริกา สถานีวิทยุและโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CMG)