Biz news

KKPมองเศรษฐกิจไทยปี2568ชะลอตัว ท่องเที่ยวแผ่ว-หนี้ครัวเรือนพุ่ง/โต2.6%



กรุงเทพฯ-(6 กุมภาพันธ์ 2568) กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) KKP มองเศรษฐกิจไทย 2568 ชะลอตัว ท่องเที่ยวแผ่ว-หนี้ครัวเรือนกดดันจับตานโยบายสหรัฐฯ กระทบการค้า คาดโตเพียง 2.6% เผยความคืบหน้าในการรับมือกับความท้าทาย และวางรากฐานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเป็นไปอย่างชะลอตัว และความผันผวนในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง KKP ได้วางมาตรการเพื่อยกระดับผลการดำเนินงานและเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่มีความไม่แน่นอนสูง 

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (Pipat Luengnaruemitchai, Chief Economist, KKP Research, Kiatnakin Phatra Financial Group) เผยว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 2.6% ชะลอตัวจากปีก่อนหน้าที่คาดไว้ที่ 2.7% เล็กน้อย โดยมีแรงส่งสำคัญจากภาคท่องเที่ยวและภาคบริการ อย่างไรก็ตาม แรงส่งนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากการฟื้นตัวกลับมาเกือบปกติของภาคท่องเที่ยว ในขณะที่ปัญหาความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมและภาคส่งออกยังเป็นแรงกดดันที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ การหดตัวของสินเชื่อภาคธนาคารจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาวะเศรษฐกิจกำลังส่งผลทางลบต่อการบริโภคสินค้าคงทนและภาคอสังหาริมทรัพย์

ด้านปัจจัยภายนอก เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงจากนโยบายของสหรัฐฯ ที่อาจใช้นโยบายการค้าเป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรอง โดยไทยติดอันดับที่ 11 ของประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุด และอาเซียนเองก็เกินดุลการค้าเป็นอันดับ 2 รองจากจีนเท่านั้น ทำให้ไทยและอาเซียนอาจตกเป็นเป้าของมาตรการทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ และส่งผลต่อภาคการค้าไทยได้ ทั้งนี้ นอกจากกลุ่มสินค้าส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบแล้ว ไทยอาจถูกกดดันให้เปิดตลาดบางกลุ่มสินค้า รวมถึงสินค้าเกษตรที่ไทยมีอัตราภาษีและมาตรการกีดกันการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในขณะที่ไทยอาจได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานลงทุน จึงมีความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมในการรับมือและเจรจาต่อรองให้เกิดผลดีที่สุด

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่มีไม่แน่นอน ดร.พิพัฒน์ มองว่า การใช้นโยบายการคลัง และนโยบายการเงินจะมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับความเสี่ยง นอกจากนี้ การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อสนับสนุนการลงทุนและยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจยังมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยคาดว่าน่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในปีนี้ และรัฐบาลยังคงใช้นโยบายขาดดุลด้านการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี ด้วยข้อจำกัดด้านการคลังกำลังมีมากขึ้นและหนี้สาธารณะที่ขยับใกล้แตะเพดาน 70% ของ GDP รัฐบาลอาจต้องมีการทบทวนว่าจะเลือกใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรเพื่อให้เกิดผลดีที่สุดต่อเศรษฐกิจ และเนื่องจากระดับรายได้ภาษีของรัฐบาลที่มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ ตลอดจนความจำเป็นในการใช้จ่ายภาครัฐที่มีมากขึ้น ทำให้จำเป็นต้องปฏิรูประบบราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐ ขยายฐานภาษี และปฏิรูประบบภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ ดูแลเรื่องปัญหาความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

KKP ปรับตัวรับความท้าทายปี 68มุ่งเน้นเสถียรภาพและคุณภาพสินเชื่อ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

รับมือความท้าทายด้วยความแข็งแกร่ง : นับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 คุณภาพของพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อใหม่ของธนาคารมีแนวโน้มดีขึ้น ฟื้นตัวจากผลกระทบเรื่องราคารถยนต์ตกต่ำช่วงหลังโควิด ส่งผลให้ผลการดำเนินงานโดยรวมของพอร์ตสินเชื่อเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ช่องทางออนไลน์ของธนาคารในด้านเงินฝากและการลงทุนเช่น KKP Savvy, KKP Edge และ Dime! ยังเติบโตเป็นที่น่าพอใจ พร้อมกับที่การเปิดตัวบัญชีเงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศได้ช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกในการบริหารจัดการต้นทุนอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ปี 2567 เป็นปีแห่งการปรับสมดุลสำหรับ KKP โดยแม้จะมีความท้าทาย แต่ KKP ได้มุ่งเน้นไปที่การวางรากฐานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ให้ความสำคัญกับการปล่อยสินเชื่อที่มีคุณภาพ เร่งเสริมรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยจากการพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน และการสร้างโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งเชื่อว่าจะส่งมอบคุณค่าในระยะยาวให้แก่ลูกค้าและผู้ถือหุ้น” นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (Mr. Aphinant Klewpatinond, Chief Executive Officer, Kiatnakin Phatra Financial Group) กล่าว

ทั้งนี้ แม้ในปี 2567 ธุรกิจตลาดทุนของ KKP ต้องเผชิญกับความผันผวนท่ามกลางภาวะขาลงของตลาดหลักทรัพย์ไทย อย่างไรก็ตาม รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยยังคงเพิ่มสูงขึ้น และสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำและการบริหาร (Asset under Advice/Asset under Management) ของ KKP เติบโตได้ดี คิดเป็นสินทรัพย์รวมกว่า 1 ล้านล้านบาท จากการให้บริการผ่านบริษัทหลักทรัพย์และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเป็นผู้นำด้านการลงทุนในต่างประเทศ ไม่ว่าในลักษณะที่เป็นตลาดหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์นอกตลาด (Private Markets) ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน

ในด้านวานิชธนกิจ ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของ KKP ยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะบริการที่ปรึกษาและการทำธุรกรรมสำคัญ เช่น การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของรูปแบบธุรกิจของธนาคาร เช่นเดียวกับที่ธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ ยังคงครองส่วนแบ่งเป็นอันดับหนึ่งของตลาดอย่างต่อเนื่อง

กลยุทธ์สำหรับปี 2568 มุ่งเน้นคุณภาพและเสถียรภาพ : สำหรับกลยุทธ์ปี 2568 ธนาคารมุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างพอร์ตสินเชื่อที่มีเสถียรภาพ ลดต้นทุนด้านเครดิตและบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม เพื่อที่จะสามารถตอบสนองต่อความท้าทายจากระดับหนี้ครัวเรือนของไทยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยแม้ว่าแนวทางการเติบโตอย่างระมัดระวัง อาจส่งผลให้ขนาดของพอร์ตสินเชื่อและรายได้ดอกเบี้ยจากธุรกิจสินเชื่อลดลงในระยะสั้น แต่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ระยะยาวของธนาคารในการสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่ยั่งยืน

“ในปี 2568 เรายังคงมุ่งเน้นที่คุณภาพและความยั่งยืนของพอร์ตสินเชื่อ ธนาคารทำงานอย่างทุ่มเทเพื่อสร้างโอกาสแก่ลูกค้าที่มีศักยภาพ และช่วยเหลือลูกค้าที่ดีในการรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ภายใต้แนวทางการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทางการเงินควบคู่ไปกับการปล่อยสินเชื่อที่มีความรับผิดชอบ" นายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (Mr.Philip Chen Chong Tan, President, Kiatnakin Phatra Bank Public Company Limited) กล่าว

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 2566 ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือกับลูกค้าคุณภาพที่ได้รับผลกระทบจากภาวะทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด ซึ่งรวมถึงผู้เข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ทยอยเข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่อง

ต่อยอดจุดแข็ง : KKP ยังคงเป็นผู้นำด้านการบริหารความมั่งคั่งที่ได้รับความไว้วางใจ ด้วยผลงานความสำเร็จที่ผ่านมาจากการช่วยสร้างโอกาสที่มากขึ้นให้กับนักลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินทั่วโลก ดังแสดงให้เห็นผ่านรางวัล Thailand’s Best Private Bank จากหลากหลายนิตยสารทางการเงินระดับสากล KKP มีความมั่นใจว่ากลยุทธ์ที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางและการนำเสนอนวัตกรรมด้านการเงินการลงทุนอย่างต่อเนื่องจะยังคงขับเคลื่อนการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำและการบริหาร

"เสถียรภาพทางการเงินและการจัดสรรทรัพยากรด้วยความระมัดระวังของเรา ช่วยให้สามารถรับมือกับความท้าทายของตลาด พร้อมๆ กับวางรากฐานด้านระบบเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสในอนาคต KKP จึงอยู่ในตำแหน่งที่จะสร้างการเติบโตและมูลค่าที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายของเรา" ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (Mr. Preecha Techarungchaikul, Head of Finance and Budgeting, Kiatnakin Phatra Bank Public Company Limited) กล่าว