Think In Truth

เจาะลึก!ตำนานยิวในไทย : ผู้กุมชะตาโลก โดย : ยศเสธ



กระแสต่อต้านนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลใน อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ที่เกิดขึ้นในห้วงนี้อันเนื่องมาจากวีรกรรมของนักท่องเที่ยวที่ไม่เหมาะสม ทำให้ร้านค้าที่ปายถึงขนาดขึ้นป้าย​ว่า “No Israel Here” ถ้าแปลเป็นไทยก็คือ “ไม่มีอิสราเอลที่นี่” นั้นหมายถึงการไม่ต้อนรับพฤติกรรมคน “ยิว” ที่มาจากอิสราเอล

ถ้าจะว่าไปแล้ว ในห้วงที่ผ่านมาคนไทยรู้จักชาวยิวหรือชาวอิสราเอลจากการที่ไทยไปค้าแรงงานมานานหลายปีหลายหมื่นคน แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วชาวยิวได้เข้ามาตั้งหลักปักฐานในประเทศไทยตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 ด้วยการมาถึงของครอบครัวชาวยิวแบกแดดจำนวนหนึ่ง

ทั้งนี้ นอกจากชาวยิวในประเทศไทยปัจจุบันส่วนใหญ่จะประกอบด้วยชาวยิวอัชเคนาซิ ซึ่งเป็นผู้ลี้ภัยจากรัสเซียและสหภาพโซเวียต ยังมีชาวยิวเปอร์เซีย อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศเพื่อหนีการไล่ล่าและสังหารในอิหร่าน ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 และ 1980

ชาวยิว ที่มาตั้งรกรากถาวรในประเทศไทยในประเทศไทยมีจำนวนไม่เกิน 1,000 คน โดยอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร(โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริเวณถนนข้าวสาร)ภูเก็ต เชียงใหม่และเกาะสมุย 

ในช่วงวันหยุดนอกจากชาวยิวในไทยจะมารวมตัวกันที่ธรรมศาลา 2  แห่งในกรุงเทพฯแล้ว ยังมีชาวยิวทั่วโลกเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอิสราเอลและสหรัฐอเมริกา 

ธรรมศาลายิวสองแห่งขึ้นในกรุงเทพมหานคร จะมี เบธ อีลิเชวาและอีเวน เชน, ราไบโยเซฟ ชาอิม คันทอร์ เป็นราไบถาวรคนแรกในปี พ.ศ. 2536 และในปีเดียวกันนั้นสมาคมชาวยิวแห่งประเทศไทยก็ได้รับการก่อตั้งขึ้นและเป็นสมาชิกชาบัด

ชาบัดในกรุงเทพมหานคร เป็นชาบัดเฮ้าส์ขนาดใหญ่ ซึ่งบริการให้แก่นักท่องเที่ยวหนุ่มสาวชาวอิสราเอลเป็นส่วนใหญ่ สถานที่ดังกล่าวเป็นศูนย์บรรเทาภัยพิบัติที่สำคัญหลังจากเหตุการณ์สึนามิเมื่อ พ.ศ. 2547 นอกจากนี้ ยังได้เสิร์ฟมื้ออาหารชาบัดให้แก่นักท่องเที่ยวชาวยิวหลายร้อยคนต่อสัปดาห์ และอีกหลายร้อยคนในช่วงเทศกาลปัสกา

ปัสคาหรือ ปัสกา (Pesach ‎; อังกฤษ: Passover - แปลว่า ผ่านเว้น) เป็นเทศกาลที่ชาวยิวระลึกถึงการที่พระยาห์เวห์ทรงนำพวกเขาออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ ในช่วงประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล โดยในคืนก่อนที่ฟาโรห์จะยอมปล่อยวงศ์วานอิสราเอลให้ออกเดินทาง พระยาห์เวห์ทรงสำแดงปาฏิหาริย์ให้เกิดภัยพิบัติประการที่ 10 หลังจากที่ฟาโรห์ปฏิเสธที่ปล่อยพวกอิสราเอล ตามคำบัญชาของพระเจ้ามาแล้ว 9 ครั้งภัยพิบัติประการที่ 10 คือ ทูตมรณะจะเข้าไปในทุกครัวเรือนของชาวอียิปต์ เพื่อปลิดชีพของบุตรหัวปีของทุกครอบครัว ยกเว้นแต่ครอบครัวที่เชื่อฟังพระยาห์เวห์ โดยการนำเอาโลหิตของลูกแกะปัสคา มาทาไว้ที่ประตูบ้านของตน บ้านใดได้กระทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา ทูตมรณะก็จะไม่เข้าไปในบ้าน แต่จะผ่านไป (ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ Passover) และบุตรหัวปีของครอบครัวนั้นก็จะรอดตาย

 

ภาพปัสกา (Pesahplate)

สำหรับการจัดการศึกษาสำหรับชาวยิวครบวงจรในกรุงเทพมหานคร นับตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รวมทั้งเยชิวานิกายออร์โธด็อกซ์ที่เพิ่งเปิดใหม่ด้วย หลังจากที่ได้มีการขอรัฐบาลมาเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดรัฐบาลก็อนุญาตให้มีการก่อตั้งสุสานชาวยิวได้

ตามพจนานุกรมให้นิยามคำว่า ยิว รวมถึง สมาชิกชนเผ่ายูดาห์, คนอิสราเอล, สมาชิกคนหนึ่งของชนชาติที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์จากศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตศักราช จนถึงศตวรรษที่ 1 คริสตศักราช บุคคลที่ยังคงสืบเชื้อสายต่อเนื่องมาหรือการกลับใจใหม่ของชาวยิวโบราณ และคนที่นับถือศาสนายูดาย

ย้อนไปเมื่อประมาณ 1,400 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนสมัยพระเยซูประสูติ ชนชาติยิวซึ่งในสมัยโบราณเรียกกันว่า ฮิบรู (Hebrew)ซึ่งเป็นชนผิวขาวเผ่าเสมิติค(อีกพวกหนึ่ง) ที่มีร่างกายแข็งแรง ขยันขันแข็งในการทำงานและมีความทรหดอดทนต่อความยากลำบาก มีอาชีพร่อนเร่เลี้ยงสัตว์อยู่ในทะเลทรายอาระเบีย เคยอพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนล่างของลุ่มแม่น้ำยูเฟรติสระยะหนึ่ง จนถิ่นที่อพยพเข้าไปอยู่เกิดความแห้งแล้งจึงพากันอพยพต่อไป พวกหนึ่งได้เข้าไปอาศัยอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า ปาเลสไตน์(Palestine) อีกพวกหนึ่งเข้าไปอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์

ดินแดนที่เรียกว่าปาเลสไตน์ ซึ่งฮิบรูพวกหนึ่งอพยพเข้าไปอาศัยอยู่ครั้งนั้นมีเนื้อที่ประมาณ 25,000 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน / ทิศเหนือ–จรดประเทศซีเรีย / ทิศใต้–จรดประเทศอียิปต์ / ทิศตะวันออก–จรดแม่น้ำจอร์แดน / ทิศตะวันตก–จรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

เมื่อพวกฮิบรูอพยพมาสู่ดินแดนนี้ใหม่ๆ บริเวณดังกล่าวเป็นอาณาจักรของพวกเจริญที่ตั้งถิ่นฐานอยู่มาก่อนช้านานแล้ว(ประมาณ1,500 ปี) ที่เรียกว่า คานาอัน (Canaan)ของชนเผ่าเคนันไนท์ (Cananite)

พวกเคนันไนท์ เป็นชนเผ่าเสมิติคอีกพวกหนึ่งซึ่งเจริญขึ้น เพราะได้รับอารยธรรมจากอียิปต์และบาบิโลเนีย สามารถสร้างบ้านเมืองใหญ่โตมีป้อมปราการล้อมรอบ เรียกว่า นครเยรูซาเลม (Herusalem)

พวกฮิบรูที่อพยพเข้ามาภายหลังตอนแรก ๆ ต้องอาศัยพวกเคนันไนท์อยู่นอกกำแพงเมือง พวกเคนันไนท์ซึ่งเป็นเจ้าของถิ่นเดิมเรียกผู้อพยพมาอยู่ใหม่เหล่านี้ว่า ฮิบรู(แปลว่าพวกข้างโน้น) ต่อมาพวกฮิบรูเริ่มเจริญขึ้นเพราะได้รับขนบธรรมเนียมประเพณีและอารยธรรมจากพวกเคนันไนท์ได้เข้าปะปนกับเจ้าของถิ่นเดิม จนกลายเป็นพวกเดียวกัน

 

พวกฮิบรูมีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันแบ่งออกได้เป็น 2 พวก คือ

1) พวกที่อยู่ทางเหนือใกล้ชิดกับพวกเคนันไนท์มาก มีขนบประเพณี และวิธีการดำเนินชีวิตเช่นเดียวกันกับพวกเคนันไนท์ 

2) พวกที่อยู่ทางใต้ ยังคนร่อนเร่เลี้ยงสัตว์ใช้ชีวิตแบบเดิม และรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีเดิมอยู่

ด้านการปกครอง ของพวกฮิบรู สมัยที่ยังร่อนเร่พเนจรอยู่กันเป็นกลุ่มๆ มีหัวหน้าใหญ่เป็นผู้นำ เรียกว่า พาทริอาร์ค (Patriarch) แปลว่า พ่อหมู่ เป็นผู้ควบคุม โดยพ่อหมู่หรือหัวหน้าหมู่มีอำนาจเหนือผู้คน และทรัพย์สินของลูกหมู่ทุกคน ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้นำการเดินทาง แม่ทัพ ตุลาการ ผู้สอนศีลธรรมจรรยา และเป็นตัวแทนพระผู้เป็นเจ้าเบื้องบนด้วย

ด้านศาสนา พ่อหมู่ อธิบายว่าตนทำทุกอย่างตามบัญชาพระผู้เป็นเจ้า การที่ลูกหมู่ผู้ใดจะได้รับทุกข์สุข ขึ้นอยู่กับการกระทำของพวกเขาเอง ถ้าเขาเหล่านั้นเชื่อมั่นในพระเจ้า และกระทำความดี พระเจ้าจะบันดาลให้พบดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ และอยู่อย่างเป็นสุข ถ้าไม่เชื่อในพระเจ้า และประพฤติชั่วกันมากๆ พระเจ้าจะทรงลงโทษให้ได้รับทุกข์

พวกฮิบรู มีความเป็นอยู่เช่นนี้เรื่อยมา จนกระทั่งถึงสมัยพ่อหมู่มีนามว่า ยาขอบ ซึ่งเป็นคนแรกที่ประกาศและปฏิบัติตนเป็นผู้ยึดมั่นในพระเจ้าอย่างเคร่งครัด ท่านผู้นี้เรียกชื่อตนเองในขณะประกอบพิธีกรรมทางศาสนาว่า อิสราเอล (Israel) แปลว่า มั่นคงต่อพระเจ้า โดยแบ่งพวกฮิบรูออกเป็น 12 กลุ่ม แล้วแต่งตั้งบุตร 12 คนของเขาเป็นหัวหน้าโดยแยกกันปกครองกันแต่ละกลุ่ม 

พวกฮิบรูจึงเรียกชื่อพวกตนเองว่า อิสราเอลไลท์ (Israelite) แปลว่า ลูกของอิสราเอล

ต่อมา โจเซฟ บุตรชายคนหนึ่งของยาขอบ มีโอกาสเข้าไปรับราชการในราชสำนักของกษัตริย์อียิปต์ทำความดีความชอบ ที่โปรดปรานของฟาโรห์จนได้รับแต่งตั้งเป็นอัครมหาเสนาบดี ระยะนั้นพวกฮิบรูได้พากันอพยพเข้าไปอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์เป็นจำนวนมาก

เมื่อสิ้นบุญโจเซฟแล้ว ฟาโรห์องค์ต่อมาได้เกิดไม่ไว้ใจเกร่งว่าพวกฮิบรูจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ จึงแยกฮิบรูให้ไปอยู่รวมกลุ่มกันต่างหาก พร้อมลดฐานะลงเป็นทาสและเกณฑ์แรงงานไปใช้ในการก่อสร้างพีระมิดทำให้พวกฮิบรูได้รับความทุกข์ยากลำบากเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันปริมาณประชากรกลับยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนฟาโรห์ต้องมีคำสั่งให้ประหารชีวิตเด็กเกิดใหม่เป็นจำนวนมากเกรงว่าถ้าเติบใหญ่จะเป็นภัยแก่ตน

อย่างไรก็ตามในครานั้นปรากฏว่าทารกชาวฮิบรูผู้หนึ่งรอดตายจากคำสั่งประหาร เพราะมารดานำเด็กใส่แพลอยน้ำ ทารกนั้นเป็นเด็กชาย  เจ้าหญิงอียิปต์องค์หนึ่งพบเข้าและนำไปอุปการะโดยตั้งชื่อว่า โมเสส (Moses) แปลว่าผู้รอดตายจากน้ำ

 

เมื่อโมเสส เติบโตขึ้นเป็นผู้มีสติปัญญาดีและได้รับการศึกษาสูงเยี่ยงเจ้าชายองค์หนึ่ง โมเสสมีจิตเมตตา สงสารพวกฮิบรูที่เป็นทาสถูกเกณฑ์แรงงานสร้างพีระมิดให้ฟาโรห์ และถูกผู้คุมทำทารุณกรรมต่างๆ ถึงกับสังหารผู้คุมชาวอียิปต์ที่ทารุณนั้น และลาออกจากตำแหน่งหน้าที่ราชการมาเป็นหัวหน้าวางแผนพาพวกฮิบรูหลบหนีจากอียิปต์ไปสู่ประเทศปาเลสไตน์เป็นผลสำเร็จ ดินแดนแห่งนี้พวกฮิบรูถือว่าเป็นดินแดนแห่งพันธสัญญาแห่งพระเจ้าที่ทรงประทานให้แก่พวกเขา

โมเสสได้รับการยกย่องนับถือจากประชาชน ที่ตนพาหลบหนีจากประเทศอียิปต์ตลอดจนพวกอิสราเอลไลท์ที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์ จึงได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้า  และ ณ ดินแดนแห่งนี้ โมเสส ได้วางรากฐานที่สำคัญให้แก่สังคมฮิบรู คือ

1. จัดทำกฎหมายและกำหนดระเบียบการปกครองพวกอิสราเอลไลท์ขึ้น กฎหมายและระเบียบการปกครองดังกล่าว มีสารที่สำคัญ คือให้ถือว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ปกครองสูงสุดของชาวอิสราเอลไลท์ พระเจ้าทรงมอบหน้าที่ให้ผู้แทนของพระองค์ (ซึ่งได้มาโดยการเลือกตั้ง) เรียกว่ายัดซ์ (Judge) แปลว่าผู้วินิจฉัย ทำหน้าที่เป็นตุลาการพิพากษาคดี แผ่นดินทั้งหมดเป็นสมบัติของพระเจ้า ห้ามซื้อขาย ผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับข้อห้ามทางศาสนาจะต้องได้รับโทษอย่างหนัก ผู้กระทำผิด ทางอาญาเช่นไร จะต้องได้รับโทษตอบแทนในทำนองเดียวกัน (ตาต่อตาฟันต่อฟัน)

2. ด้านศาสนากำหนดให้มีพระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียวคือยาเวห์หรือยะโฮวา(Yaveh, Yahoveh)พระเจ้าทรงประทานกฎแห่งความประพฤติ(ศีล)แก่ประชาชน10 ประการ เรียกว่าบัญญัติ 10 ประการ (อ่านรายละเอียดในบทศานายูดาห์) เมื่อโมเสสถึงแก่กรรม ปรากฏว่าพวกฮิบรูมีความสามัคคีและมีกำลังเข้มเข็งขึ้น โจชัว คนสนิทของโมเสสสามารถยกกำลังแย่งชิงดินแดน ของพวกเคนันไนท์ได้นับแต่เริ่มอพยพเข้ามาอยู่ในปาเลสไตน์จนยึดอาณาจักรคานาอันของพวกเคนันไนท์ได้ พวกอาราเอลไลท์ ไม่เคยมีกษัตริย์ปกครอง จึงไม่สามารถรวมพลังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ทั้งหมด เมื่อตั้งบ้านเมืองได้ก็ถูกรุกรานจากศัตรูใกล้เคียงพวก ฟิลิสติน(Philistine)ซึ่งอพยพจากเกาะครีต(Crete) เข้ามาตั้งภูมิลำเนาอยู่แถบชายทะเลทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปาเลสไตน์ พวกอามอไรท์และฮิตไตท์จากทางเหนือทำให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องมีกษัตริย์ปกครอง พวกอิสราเอลไลท์ได้พร้อมใจกันเลือกหัวหน้ากลุ่มที่เข้มแข็งในการสงครามผู้หนึ่ง ชื่อซอล (Saul) ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรก เมื่อประมาณ 1050 ปี ก่อนคริสตกาล

สมัยที่พระเจ้าซอล ปฐมกษัตริย์ปกครองพวกอิสราเอลไลท์ พระองค์มิได้สร้างบ้านเมือง และพระราชวังเป็นที่ประทับ ยังคงประทับในกระโจมซึ่งพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายได้โดยสะดวก ตอนต้นสมัยแห่งรัชกาลของพระองค์ทรงทำสงครามชนะพวกฟิลิสติน แต่ปลายรัชกาลทรงประสบความปราชัย ต่อมาทรงมีพระสติวิปลาสถึงกับสิ้นพระชนม์พระองค์เอง

หลังจากพระเจ้าซอลสิ้นพระชนม์แล้วพวกอิสราเอลไลท์ได้เลือกอดีตข้าราชสำนักของพระเจ้าซอลผู้สามารถในการสงคราม และกล้าหาญที่ถูกพระเจ้าซอลเนรเทศ ขึ้นเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า พระเจ้าดาวิด (David) พระเจ้าดาวิดทรงครองราชย์ อยู่ระหว่าง 1705-993 ปีก่อนคริสต์กาล  สมัยของพระองค์นับได้ว่าเป็นสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ของพวกอิสราเอลไลท์ ทรงตีได้นครเยรูซาเลมของพวกเคนันไนท์และสถาปนาอาณาจักรยูดาห์ (Udah) ขึ้น ณ บริเวณเนินสูงยูเดีย และสมัยนี้เองที่พวกฮิบรูหรืออิสราเอลไลท์ เรียกตัวเองว่า ยูดายหรือยิว (Jew)

เมื่อสิ้นรัชสมัยพระเจ้าดาวิดแล้วต้อมาพระเจ้าโซโลมอน โอรสพระเจ้าดาวิดทรงทำให้อาณาจักรยูดาห์มั่งคั่ง และรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด ทรงสร้างวัด และโบสถ์วิหารงดงามขึ้นในอาณาจักรยูดาห์ ทรงทำนุบำรุงศาสนาประจำชาติของยิวให้เจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมาก

ปลายรัชกาลพระเจ้าโซโลมอนทรงปล่อยให้ลัทธิศาสนาฟินิเชียนและอียิปต์ ซึ่งบูชารูปเคารพ และนับถือเทพเจ้าหลายองค์ เข้ามาเผยแผ่ทางภาคเหนือ ทำให้ประชาชนทางเหนือพากันรับนับถือเทพเจ้าของลัทธิศาสนาอื่นมากขึ้น ประชาชนทางใต้ซึ่งเคร่งครัดในลัทธิศาสนาเดิมของตนต่างพากันชิงชังพวกฝ่ายเหนือ ขณะเดียวกันพวกฝ่ายเหนือซึ่งมีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าพวกทางใต้ก็ไม่พอใจที่กษัตริย์ของตนทำนุบำรุงศาสนาแต่เฉพาะทางใต้ ดังนั้น เมื่อพระเจ้าโซโลมอนสิ้นพระชนม์ เมื่อ 953 ปีก่อนคริสต์กาล 
อาณาจักรของพวกฮิบรู จึงแตกแยกออกเป็น 2 อาณาจักรคือ

อาณาจักรทางเหนือ เรียกว่า อิสราเอล (Israel) มีเมืองสมาเรีย (Samaria) เป็นเมืองหลวง

อาณาจักรทางใต้  เรียกว่า ยูดาห์ (Udah) มีเมืองเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวง

หลังแตกแยกกันแล้วความขัดแย้งเรื่องศาสนาทำให้สองอาณาจักรเป็นศัตรูกันอย่าง รุนแรง จนถึงกับยกกำลังเข้าทำสงครามกัน ทั้งสองอาณาจักรจึงเสื่อมโทรมลงตามลำดับ จนกระทั่งประมาณ 722 ปีก่อนคริสต์กาล อาณาจักรอิสราเอลก็สูญเสียเอกราชแก่พระเจ้าซาร์กอนที่ 2 กษัตริย์อัลซีเรียที่มารุกราน ประชากรถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยเกือบทั้งหมด และอีกประมาณ 10 ปีต่อมา อาณาจักรยูดาห์ก็เสียเอกราชแก่พระเจ้าเนบูคัด

เนสซาร์ กษัตริย์แคเดีย ผู้ปกครองอาณาจักรบาบิโลเนียใหม่ เมื่อประมาณ 586 ปีก่อนคริสต์กาล ผู้คนถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยและนครเยรูซาเลมถูกทำลายโดยพวกยิวที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ณ กรุงบาบีโลเนียตกเป็นเชลยอยู่ประมาณ 50 ปี จึงได้รับอิสราภาพ เมื่อพระเจ้าโซรัสมหาราชกษัตริย์เปอร์เซียทรงตีกรุงบาบีโลเนียได้เมื่อ 536 ปีก่อนคริสต์กาล พระเจ้าไซรัสมหาราช ทรงปลดปล่อยยิวให้กลับถิ่นเดิม ยิวได้กลับไปฟื้นฟูครเยซาเลมขึ้นหม่จนมีฐานะเป็นเมืองศูนย์กลางทางศาสนายิวนับแต่นั้น

อิสราภาพของยิวยืนนานอยู่เพียงชั่วสมัยจักรวรรดิเปอร์เซียเรืองอำนาจเท่านั้น ต่อมาเมื่อจักรวรรดิเปอร์เซียต้องสูญเสียอำนาจแก่กรีกยิวก็ต้องตกอยู่ในอำนาจการปกครองของกรีก และเมื่อกรีกสูญเสียอำนาจแก่โรมัน ยิวก็อยู่ใต้อำนาจการปกครองของจักวรรดิโรมันต่อมา ยิวต้องตกทุกข์ยากและถูกกดขี่บีบคั้นจากชาติต่างๆ ที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาปกครองตน ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน ท่ามกลางความว้าเหว่ประชาชนยิวต่างรอคอยกาลเวลาที่พระเจ้าของตน จะส่งเมสไซอามาช่วยปลดปล่อยสู่อิสราภาพ

 

บรรยายภาพ :      ชาวยิวในประวัติศาสตร์ได้รับความทุกข์ทรมารจากสงครามมากมายหลายครั้ง ไม่ว่าจากกองทัพบาบิโลน เปอร์เซีย กองทัพโรม สงครามศักดิ์สิทธิ์ แต่ครั้งที่สำคัญและโลกไม่สามารถลืมความโหดร้ายได้คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยฮิตเลอร์และพรรคนาซี ซึ่งยิวถูกฆ่าไปทั้งหมด ประมาณ 6 ล้านคน

ในที่สุดความพยายามของชาวยิวที่จะก่อตั้งรัฐอิสระ ก็ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอังกฤษซึ่งในตอนนั้นอังกฤษมีอิทธิพลในดินแดนปาเลส์ไตน์ อนุญาตให้ชาวยิวให้กลับเข้าไปในปาเลสไตน์อีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งก็คือประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน พวกเขาได้ใช้ข้อความในพระคัมภีร์ มาอ้างความเป็นเจ้าของซึ่งชนพื้นเมืองที่มีอยู่ก่อนคือชาวปาเลสไตน์และชาวอาหรับในละแวกนั้นไม่เห็นด้วย จนเกิดความรุนแรงทุกรูปแบบในการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งแผ่นดินแห่งนี้

ที่ถือว่าสุดยอดมาก ก็คือ พวกเขาก่อร่างสร้างเมือง เปลี่ยนทะเลทรายที่แห้งแล้งให้เป็นพื้นที่การเกษตรเขียวชะอุ่มตรงตามพระคำภีร์ไบเบิ้ลที่บอกว่าพวกเขาจะกลับมารวมชาติและทำให้ดินแดนนี้มีชีวิตอีกครั้ง ทุกวันนี้หนุ่มสาวชาวอิสราเอล ต่อสู้เพื่อปกป้องและขยายดินแดนไปอาณาจักรที่อยู่ใกล้เคียงหลายต่อหลายครั้งโดยได้รับการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา

ภาษาของชาวยิว คือ ภาษาฮิบรู ( Modern Hebrew) โดยใช้เป็นภาษาในพิธีกรรมทางศาสนาของหมู่ชาวยิวตามประเทศต่างๆทั่วโลกในปัจจุบันภาษาฮีบรูเป็นภาษาเซมิติก (Semitic) ซึ่งจัดอยู่ในตระกูลภาษาแอโฟรเอชีแอติก (Afro–Asiatic) เป็นภาษาที่เก่าแก่ โดยมีอายุมาอย่างน้อยตั้งแต่ 3,500 ปีที่แล้ว

ประชากรยิวทั้งหมดทั่วโลก

(ประมาณ 20 ล้านคน)

อิสราเอล

6,042,000

สหรัฐ

5,425,000

ฝรั่งเศส

480,000

แคนาดา

375,000

สหราชอาณาจักร

291,000

รัสเซีย

194,000

อาร์เจนตินา

182,300

เยอรมนี

119,000

ออสเตรเลีย

107,500

บราซิล

95,300

ยูเครน

67,000

แอฟริกาใต้

70,800

ฮังการี

48,600

เม็กซิโก

39,400

เบลเยียม

30,300

เนเธอร์แลนด์

30,000

อิตาลี

28,400

ชิลี

20,500

ประเทศอื่นๆทั่วโลก

250,200

ในปัจจุบัน ภาษาฮีบรูใช้เป็นภาษาพูดใหม่ และเป็นภาษาที่ชาวอิสราเอลใช้สื่อสารกันในชีวิตประจำวัน โดยภายในในอิสราเอล มีผู้พูดมากกว่า 4,380,000 ล้านคน ซึ่งเป็นภาษาราชการคู่กับภาษาอาหรับนอกอิสราเอล ภาษาฮีบรูยังมีผู้พูดอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งโดยมากเป็นชุมชนชาวยิว

อย่างไรก็ตาม เป็นที่ยอมรับกันว่า ชนชาติยิวเป็นหนึ่งในชนชาติที่ฉลาดที่สุด ลึกลับที่สุดและร่ำรวยที่สุดในโลก ด้วยเหตุนี้ชาวยิวจึงมีบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทุกวงการจนมีคำกล่าวว่า หากไม่รู้จักชาวยิวก็เท่ากับไม่รู้จักโลก เพราะชาวยิวมีอิทธิพลต่อโลกเป็นอย่างมากและถึงขั้นที่ว่า

“... ชาวยิวสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกันสามารถตัดสินชะตากรรมของโลกได้...”

 

เชื่อหรือไม่ว่า หากจะกล่าวถึงบุคคลสำคัญและที่มีชื่อเสียงของโลกที่มีสายเลือด “ยิว” แล้ว ว่ากันแทบจะนับไม่ถ้วนเพราะมีกันแทบทุกวงการ  ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาตร์ นักดาราศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ มหาเศรษฐี ดารา นักแสดง นักฟุตบอล หรือแม้แต่นักการเงินธนาคาร นักการเมืองที่กุมอำนาจบริหารสั่งการอยู่ในทำเนียบขาวในยุคก่อนหรือแม้แต่ในปัจจุบัน หรือแม้แต่หากย้อนประวัติศาสตร์ไปเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่นมาจนถึงยุคปัจจุบัน

ถ้าไล่เลียงกันมาตั้งแต่ “นอสตราดามุส” ผู้ทำนายดวงชะตาโลกมาจนถึง “มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก” ผู้ก่อตั้ง FACEBOOkคงไม่กล่าวเกินจริงที่ว่า “ยิว”  คือผู้พลิกชะตาและกุมโลกโดยแท้.