Think In Truth
ขุดปม..'อุยกูร์'รากเหง้าความขัดแย้งพันปี โดย : ฅนข่าว2499

ประวัติศาสตร์ของชาวอุยกูร์สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ศาสนา และการเมืองในซินเจียง พวกเขามีรากเหง้ามายาวนานในเอเชียกลางและเคยมีอาณาจักรของตนเอง ก่อนจะถูกรวมเข้ากับจีนและต้องเผชิญกับนโยบายที่ส่งผลต่ออัตลักษณ์ของพวกเขา
อุยกูร์(Uyghur) เป็นชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้าลึกในเอเชียกลาง ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลัง “ซินเจียง” ถูกรวมเข้ากับจีน ทั้งนโยบายควบคุมประชากร ศาสนา อัตลักษณ์ จุดชนวนความขัดแย้ง ที่นานาชาติต่างร่วมประณามนี่คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม
ชาวอุยกูร์ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้ามาจากชนเผ่าเร่ร่อนในแถบเอเชียกลางที่มีรากเหง้ามาจากชนเผ่าตุรกีโบราณ ที่เคยอาศัยอยู่ในแถบเอเชียกลาง พวกเขามีความเกี่ยวข้องกับเผ่าซงหนู (Xiongnu) และเผ่าตูเจวี๋ย (Tujue) ซึ่งเคยมีอิทธิพลในบริเวณที่ราบสูงมองโกเลียและทะเลทรายทากลามากัน
กล่าวว่า ในช่วงศตวรรษที่ 8 ชาวอุยกูร์ได้สถาปนาอาณาจักรของตนเองที่เรียกว่า “อุยกูร์คานาเต” (Uyghur Khaganate) ซึ่งปกครองพื้นที่กว้างขวางและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์ถังของจีน
อย่างไรก็ตาม อาณาจักรอุยกูร์ล่มสลายในศตวรรษที่ 9 หลังจากถูกกองกำลังคีร์กีซโจมตี ทำให้ชาวอุยกูร์จำนวนมากต้องอพยพลงใต้สู่ดินแดนที่ปัจจุบันคือเขตปกครองตนเองซินเจียงของจีน
หลังจากการอพยพ ชาวอุยกูร์ได้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในซินเจียง และกลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญในเส้นทางสายไหม พวกเขาค้าขายกับชาวเปอร์เซีย อาหรับ และจีน ทำให้ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากหลายอารยธรรม
ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 10 ชาวอุยกูร์เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามที่แพร่หลายแทนที่ศาสนาเทียนไถและศาสนาพุทธ วัฒนธรรมของอุยกูร์เริ่มแยกออกจากวัฒนธรรมของจีนและกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนอื่น ๆ ในเอเชียกลาง โดยมีภาษาอุยกูร์ที่ใช้ตัวอักษรอาหรับและมีวรรณกรรม ศิลปะ และดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
ชาวอุยกูร์อาศัยอยู่ในพื้นที่โอเอซิสที่กระจัดกระจายอยู่ในทะเลทรายทากลามากันในลุ่มน้ำทาริม โอเอซิสเหล่านี้แต่ก่อนเคยเป็นที่อยู่อาศัยหรือรัฐของหลายอารยธรรมทั้งจีน มองโกล ทิเบต และกลุ่มรัฐเติร์กต่าง ๆ ต่อมาชาวอุยกูร์ค่อย ๆ เริ่มเข้ารับอิสลามในศตวรรษที่ 10 และเมื่อถึงศตวรรษที่ 16 ชาวอุยกูร์ส่วนใหญ่ระบุว่าเป็นมุสลิม นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ศาสนาอิสลามก็มีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชาวอุยกูร์
ประมาณร้อยละ 80 ของชาวอุยกูร์ในซินเจียงยังคงอาศัยอยู่ในลุ่มน้ำทาริม ส่วนที่เหลืออาศัยอยู่ในอุรุมชีเมืองหลวงของซินเจียง ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคประวัติศาสตร์ซูงการ์ ส่วนชุมชนอุยกูร์ที่ใหญ่ที่สุดที่อาศัยอยู่นอกซินเจียงคือชาวอุยกูร์เถาหยวนในเขตเถาหยวนทางภาคกลางตอนบนของมณฑลหูหนาน ชุมชุนชาวอุยกูร์พลัดถิ่นอื่น ๆ ที่สำคัญพบได้กลุ่มประเทศเตอร์กิกเช่น คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน อุซเบกิสถาน และตุรกีและยังมีชุมชนขนาดเล็กในซาอุดีอาระเบีย จอร์แดน ออสเตรเลีย รัสเซีย และสวีเดน
เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน มีพื้นที่กว่า 1.66ล้านตารางกิโลเมตร และเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญของเส้นทางสายไหมมานานนับพันปี มีประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและผ่านการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาหลายยุคสมัย นับตั้งแต่ราชวงศ์ถัง จักรวรรดิมองโกล และจักรวรรดิแมนจู
พื้นที่ 1.66 ล้านตร.กม แบ่งเขตการปกครองเป็น 17 เมือง 70 อำเภอ และ 844 หมู่บ้าน ในจำนวนนี้มีหมู่บ้านชนส่วนน้อยถึง 42 หมู่บ้าน ในเมืองใหญ่ทั้ง 13 เมือง เป็นเขตปกครองตนเองของชนส่วนน้อยถึง 5 เมือง
การแบ่งเขตการปกครอง
เมือง |
ภาษาอุยกูร์ |
อุยกูร์ละติน |
อักษรจีน |
พินอิน |
เมืองระดับจังหวัด |
||||
อุรุมชี (Ürümqi) |
ئۈرۈمچىشەھرى |
ÜrümqiXəh̡ri |
乌鲁木齐市 |
WūlǔmùqíShì |
คาราไม (Karamay) |
قارامايشەھرى |
K̡aramayXəh̡ri |
克拉玛依市 |
KèlāmǎyīShì |
เมืองระดับอำเภอที่ถูกปกครองโดยตรง |
||||
สือเหอจื่อ |
شىخەنزەشەھرى |
XihənzəXəh̡ri |
石河子市 |
ShíhézǐShì |
ถูมู่ซูเค่อ |
تۇمشۇقشەھرى |
Tumxuk̡Xəh̡ri |
图木舒克市 |
TúmùshūkèShì |
อารัล |
ئارالشەھرى |
Aral Xəh̡ri |
阿拉尔市 |
Ālā'ěrShì |
อู่เจียฉวี |
ئۇجاچۇشەھرى |
WujiaqüXəh̡ri |
五家渠市 |
WǔjiāqúShì |
จังหวัด |
||||
จังหวัดถู่หลู่ฟาน |
تۇرپانۋىلايىتى |
TurpanVilayiti |
吐鲁番地区 |
TǔlǔfānDìqū |
จังหวัดฮามี่ |
قۇمۇلۋىلايىتى |
K̡umulVilayiti |
哈密地区 |
HāmìDìqū |
จังหวัดเหอเถียน |
خوتەنۋىلايىتى |
HotənVilayiti |
和田地区 |
HétiánDìqū |
จังหวัดอาเค่อซู |
ئاقسۇۋىلايىتى |
Ak̡suVilayiti |
阿克苏地区 |
ĀkèsūDìqū |
จังหวัดคาสือ |
قەشقەرۋىلايىتى |
K̡əxk̡ərVilayiti |
喀什地区 |
KāshíDìqū |
จังหวัดถ่าเฉิง |
تارباغاتايۋىلايىتى |
TarbaƣatayVilayiti |
塔城地区 |
TǎchéngDìqū |
จังหวัดอัลไต |
ئالتايۋىلايىتى |
Altay Vilayiti |
阿勒泰地区 |
ĀlètàiDìqū |
จังหวัดปกครองตนเอง |
||||
จังหวัดปกครองตนเองชนชาติคีร์กีซเค่อจือเล่อซู |
قىزىلسۇقىرغىزئاپتونومئوبلاستى |
K̡izilsuK̡irƣizAptonomOblasti |
克孜勒苏柯尔克孜自治州 |
KèzīlèsūKē'ěrkèzīZìzhìzhōu |
จังหวัดปกครองตนเองชนชาติมองโกลปาอินกัวเลิ่ง |
بايىنغولىنموڭغۇلئاپتونومئوبلاستى |
BayinƣolinMongƣolAptonomOblasti |
巴音郭楞蒙古自治州 |
BāyīnguōlèngMěnggǔZìzhìzhōu |
จังหวัดปกครองตนเองชนชาติหุยชางจี๋ |
سانجىخۇيزۇئاپتونومئوبلاستى |
Sanji Huizu AptonomOblasti |
昌吉回族自治州 |
ChāngjíHuízúZìzhìzhōu |
จังหวัดปกครองตนเองชนชาติมองโกลปั๋วเอ๋อร์ถ่าลา |
بۆرتالاموڭغۇلئاپتونومئوبلاستى |
BɵrtalaMongƣolAptonomOblasti |
博尔塔拉蒙古自治州 |
Bó'ěrtǎlāMěnggǔZìzhìzhōu |
จังหวัดปกครองตนเองชนชาติคาซัคอีหลี |
ئىلىقازاقئاپتونومئوبلاستى |
Ili K̡azak̡AptonomOblasti |
伊犁哈萨克自治州 |
YīlíHāsàkèZìzhìzhōu |
ซินเจียงมีพรมแดนติดต่อกับประเทศรัสเซีย มองโกเลีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถานอัฟกานิสถาน ปากีสถานและอินเดีย นอกจากนี้ยังมีพรมแดนติดต่อกับทิเบต มีน้ำมันสำรองอุดมสมบูรณ์และเป็นภาคที่ผลิตแก๊สธรรมชาติใหญ่ที่สุดของจีน
เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์มีพื้นที่ติดต่อดังนี้
ทิศเหนือ ติดต่อกับ ประเทศคาซัคสถาน ประเทศรัสเซีย และประเทศมองโกเลีย
ทิศใต้ ติดต่อกับ เขตปกครองตนเองทิเบต ประเทศจีน และรัฐชัมมูและกัษมีระ อินเดีย
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ มณฑลชิงไห่ แล มณฑลกานซู ประเทศจีน
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ประเทศคาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน อัฟกานิสถาน และปากีสถาน
ในปี 1759 (เมื่อ 266 ปี) ราชวงศ์ชิงได้เข้ายึดครองซินเจียงและกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรจีน การปกครองของจีนในภูมิภาคนี้เป็นไปอย่างหลวม ๆ จนถึงศตวรรษที่ 20 เมื่อจีนเริ่มใช้นโยบายรวมศูนย์อำนาจมากขึ้น
หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ชิงและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสาธารณรัฐ ชาวอุยกูร์เคยประกาศตั้งรัฐอิสระของตนเอง 2 ครั้ง ได้แก่ สาธารณรัฐตุรกีตะวันออก ครั้งที่หนึ่งในปี 1933 (เมื่อ 92 ปี) และ ครั้งที่สองในปี 1944 (เมื่อ 81 ปี) อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 รัฐ ถูกกองทัพจีนเข้าปราบปราม
ในปี 1949(เมื่อ 76 ปี) พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับชัยชนะในสงครามกลางเมืองและได้ผนวกซินเจียงเข้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างสมบูรณ์ โดยกำหนดให้เป็นเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งแม้จะมีสถานะปกครองตนเอง แต่ก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลกลาง
ทั้งนี้แม้ว่าซินเจียงจะถูกกำหนดให้เป็นเขตปกครองตนเอง แต่ในทางปฏิบัติ รัฐบาลจีนมีการควบคุมพื้นที่นี้อย่างเข้มงวดมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางชาติพันธุ์และการก่อการร้ายหลายครั้ง ซึ่งจีนมองว่ามีชาวอุยกูร์หัวรุนแรงเป็นผู้กระทำ
บรรยายภาพ : ยุคใหม่ คำพูดในป้ายประกาศที่มีทั้งภาษาของอุยกูร์และจีน
หนึ่งในนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อชาวอุยกูร์มากที่สุด คือการส่งเสริมให้ชาวฮั่น ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักของจีน อพยพเข้ามาในซินเจียงผ่านโครงการพัฒนาต่าง ๆ ของรัฐบาลจีน ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา สัดส่วนประชากรของชาวฮั่นในซินเจียงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากที่เคยเป็นชนกลุ่มน้อยได้กลายเป็นกลุ่มประชากรหลักในหลายเมืองใหญ่ เช่น อูรูมชีและคัชการ์ ทำให้ชาวอุยกูร์ดั้งเดิมเริ่มสูญเสียอิทธิพลทางเศรษฐกิจและสังคมของตน
นอกจากนี้ ยังมีรายงานเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรการควบคุมประชากรในหมู่ชาวอุยกูร์ เช่น การทำหมันและการคุมกำเนิดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้หญิงชาวอุยกูร์ ซึ่งทำให้เกิดข้อกล่าวหาว่า จีนกำลังพยายามลดจำนวนประชากรของชาวอุยกูร์ในระยะยาว
อีกทั้ง รัฐบาลจีนยังดำเนินนโยบายควบคุมศาสนาอย่างเข้มงวด โดยจำกัดกิจกรรมทางศาสนา เช่น ห้ามเยาวชนเรียนศาสนาอิสลาม ห้ามถือศีลอดในเดือนรอมฎอน และมีการควบคุมเนื้อหาของคุตบะห์ (คำเทศนาในศาสนาอิสลาม) ในมัสยิด การกวาดล้างวัฒนธรรมอุยกูร์ยังรวมถึงการรื้อถอนมัสยิดบางแห่งและการควบคุมการใช้ภาษาอุยกูร์ในระบบการศึกษา
หนึ่งในประเด็นที่สร้างความกังวลในระดับนานาชาติเกี่ยวกับสถานการณ์ของชาวอุยกูร์คือ ตั้งแต่ปี 2017 หรือเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่ารัฐบาลจีนได้กักขังชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆในค่ายปรับทัศนคติ ซึ่งเชื่อว่ามีชาวอุยกูร์มากกว่า 1,000,000 คนถูกควบคุมตัว รัฐบาลจีนระบุว่าค่ายเหล่านี้เป็นศูนย์ฝึกอาชีพ ที่ช่วยให้ชาวอุยกูร์พัฒนาทักษะในการทำงานและป้องกันแนวคิดหัวรุนแรง อย่างไรก็ตาม องค์กรสิทธิมนุษยชนและผู้ลี้ภัยจากซินเจียงให้ข้อมูลที่แตกต่างออกไป โดยอ้างว่าผู้ถูกกักขังต้องเผชิญกับการล้างสมอง การทรมาน และการบังคับใช้แรงงาน
นอกจากการควบคุมตัวแล้ว รัฐบาลจีนยังมีการสอดส่องชาวอุยกูร์ที่อยู่ภายนอกค่ายอย่างเข้มงวด เทคโนโลยีจดจำใบหน้า ระบบตรวจสอบการสื่อสาร และด่านตรวจที่แพร่หลาย เรียกว่าทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของชาวอุยกูร์เต็มไปด้วยการถูกติดตามและควบคุม
โดยทั่วไป จำนวนประชากรชาวอุยกูร์ในประเทศจีนอาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียง โดยมีประชากรจำนวนน้อยที่อาศัยอยู่ในบริเวณอื่นของประเทศ เช่น เทศมณฑลเถา-ยฺเหวียนมีประชากรประมาณ 5,000–10,000 คน
จำนวนประชากรชาวอุยกูร์ยังคงเป็นหัวข้อพิพาท โดยเฉพาะประชากรในประเทศจีน ทางการจีนระบุจำนวนประชากรในเขตปกครองตนเองซินเจียงที่มากกว่า 12 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนประชากรประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมดในเขตปกครองตนเอง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2003 (2546) ชาวอุยกูร์บางกลุ่มอ้างว่าทางการจีนนับจำนวนประชากรของตนน้อยกว่าความเป็นจริง โดยอ้างว่าที่จริงมีประชากรมากกว่า 20 ล้านคน
ข้อพิพาทเรื่องประชากรยังคงมีอยู่ โดยนักเคลื่อนไหวและกลุ่มบางกลุ่มอย่าง World Uyghur Congress และ Uyghur American Association อ้างว่าประชากรชาวอุยกูร์อยู่ในขอบเขตระหว่าง 20 ถึง 30 ล้านคนบางส่วนอ้างว่าจำนวนประชากรที่แท้จริงคือ 35 ล้านคนถึงกระนั้น นักวิชาการโดยทั่วไปปฏิเสธข้ออ้างเหล่านี้
ศาสตราจารย์ Dru C. Gladney เขียนไว้ในหนังสือ Xinjiang: China's Muslim Borderland เมื่อปี 2004(2547) ว่ามีหลักฐานไม่เพียงพอ ที่สนับสนุนข้ออ้างชาวอุยกูร์เกี่ยวกับประชากรในประเทศจีนมีมากกว่า 20 ล้านคน
บทความจากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Council on Foreign Relations) มีหลักฐานว่า แรงงานชาวอุยกูร์จำนวนมากถูกส่งไปทำงานในโรงงานต่าง ๆ ทั่วประเทศจีนโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม หลายบริษัทข้ามชาติถูกตั้งคำถามว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรมหรือไม่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมฝ้ายและสิ่งทอ เนื่องจากซินเจียงเป็นแหล่งผลิตฝ้ายรายใหญ่ของโลก
สหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ออกมาตรการคว่ำบาตรสินค้า ที่อาจเกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานที่ถูกบังคับจากซินเจียง ทำให้เกิดแรงกดดันต่อบริษัทที่มีห่วงโซ่อุปทานในจีน ให้ตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบและแรงงาน
การปราบปรามชาวอุยกูร์ในซินเจียงได้รับความสนใจจากนานาชาติเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2021 หรือเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าการกระทำของจีนในซินเจียงเข้าข่าย “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม” ขณะที่หลายประเทศในยุโรปและองค์การสหประชาชาติเรียกร้องให้มีการสอบสวนและคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จีนที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ทั้งหมด โดยยืนยันว่าค่ายกักกันเป็นเพียง “ศูนย์ฝึกอาชีพ” ที่ช่วยให้ชาวอุยกูร์มีงานทำและป้องกันการก่อการร้าย จีนยังได้พยายามควบคุมการสื่อสารเกี่ยวกับซินเจียงในระดับนานาชาติ เช่น การกดดันบริษัทต่างชาติที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของตน และการใช้สื่อของรัฐเผยแพร่ข้อมูลเพื่อแก้ต่างให้กับรัฐบาล
บรรยายภาพ :วิถีชีวิตคนอุยกูร์ที่อยู่ในซินเจียง
ปัจจุบันซินเจียงมีความมั่นคงทางสังคม เศรษฐกิจเติบโต รุ่งเรืองทางวัฒนธรรม และศาสนามีความสามัคคี ประชาชนทุกกลุ่มชาติพันธุ์ในซินเจียงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สงบสุข และมีความสุข
ความตอนหนึ่งในเอกสาร 131 หน้าที่คณะผู้แทนจีนประจำสหประชาชาติ ได้ตอบโต้คำกล่าวหาของหัวหน้าสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนในซินเจียงเมื่อปี 2022 หรือเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่ปี 2014(2557) เป็นต้นมารัฐบาลจีนถูกองค์กรต่าง ๆ กล่าวหา เช่น ฮิวแมนไรตส์วอตช์ว่ามีการประหัตประหารชาวอุยกูร์ที่อาศัยอยู่ในซินเจียงอย่างกว้างขวาง รวมถึงการบังคับทำหมัน และการบังคับใช้แรงงานนักวิชาการประเมินว่าตั้งแต่ปี 2017 (2560)ชาวอุยกูร์อย่างน้อยหนึ่งล้านคนถูกควบคุมตัวโดยพลการในค่ายกักกันซินเจียง
เจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนอ้างว่าค่ายเหล่านี้ ซึ่งก่อตั้งขึ้นภายใต้การบริหารของสี จิ้นผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความเลื่อมใสในอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ป้องกันการแบ่งแยกดินแดน ป้องกันการก่อการร้าย และฝึกอาชีพให้แก่ชาวอุยกูร์
นักวิชาการ องค์กรสิทธิมนุษยชน และรัฐบาลต่าง ๆ มองว่าเรื่องที่เกิดกับชาวอุยกูร์เป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติหรืออาจถึงขั้นเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้
สถานการณ์ในซินเจียงยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความตึงเครียดระหว่างจีนกับชาติตะวันตกและยังไม่มีแนวโน้มว่าจะได้รับการแก้ไขในอนาคตอันใกล้.
ขอบคุณ TPBS NEWS