Think In Truth
'ไฟใต้'ความเชื่อต้องฆ่าศัตรูได้บุญ10เท่า! โดย : ยศเสธ

ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในห้วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมาได้มีเหตุแห่งความรุนแรงและความไม่สงบนับครั้งไม่ถ้วน โดยมีเงื่อนไขหลักใหญ่ก็คือเพื่อการแบ่งแยกดินแดน นำโดย “ขบวนการบีอาร์เอ็น” และในช่วงรอมฎอนของปี 2568 นี้ก็กลายเป็นเดือนที่มีการก่อเหตุร้ายเพิ่มมากกว่าทุกเดือนในรอบปี
“รอมฎอน” เป็นห้วงเดือนแห่งการถือศีลอดของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม เป็นเดือนแห่งความประเสริฐและศักดิ์สิทธิ์เป็นห้วงเวลาที่มุสลิมต้องปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีงามเป็นช่วงเวลาที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องจิตวิญญาณ และการกระทำที่ถือว่าดีงามและสมควรในสายตาของพระเจ้า และหากการสู้รบด้วยอาวุธถูกมองว่าเป็นการดิ้นรนต่อสู้เพื่อพระเจ้า หรือที่เรียกเป็นภาษาอาหรับว่า ญิฮาด (jihad) พวกเขาก็จะมองว่าการทำญิฮาดในช่วงรอมฎอนถือว่าเป็นสิ่งที่สมควร
กล่าวกันว่ามูลเหตุแห่งความรุนแรงเป็นผลมาจาก “อุซตาส” หรือ “ครูสอนศาสนา” ที่เป็นคนในขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ที่ได้ บ่มเพาะให้เยาวชนและผู้ติดอาวุธในขบวนการเชื่อว่า การก่อเหตุด้วยความรุนแรง การเข่นฆ่าปรปักษ์ ไม่ว่าเป็นพุทธหรือมุสลิมผู้ปฏิบัติการจะได้บุญมากกว่าเดือนปกติถึง 10 เท่า
ดังนั้น นับตั้งปี 2547 เป็นต้นมาที่ไฟใต้ระลอกใหม่เริ่มปะทุ ในทุกปีของเดือนรอมฎอนพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา จึงกลายเป็นเดือนแห่งแผ่นดินเดือดเพราะต้องมีทั้งคนตายและคนเจ็บจากการก่อเหตุของโจรใต้หรือแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนเป็นจำนวนมาก
ข้อมูลจากศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ระบุว่า ในช่วง 12 ปีระหว่างปี 2547-2559 มีเหตุวุ่นวายในช่วงรอมฎอนทั้งหมด 1,868 เหตุการณ์ ส่วนใหญ่เป็นเหตุในพื้นที่ โดยมีรูปแบบการก่อเหตุสูงสุด 3 อันดับแรกได้แก่ การยิง การระเบิด และการก่อกวน และในช่วงเวลาดังกล่าว มีผู้เสียชีวิต 768 ราย บาดเจ็บ 1,266 ราย
กล่าวได้ว่าในห้วงของปี 2568 ก็หนีไม่พ้นวงจรความรุนแรงแบบเดิมๆ ที่เกิดจากการบ่มเพาะของอุซตาสให้กลุ่มติดอาวุธของบีอาร์เอ็นฯ ปฏิบัติการด้วยความรุนแรงนับตั้งแต่ก่อนเข้าสู่เดือนรอมฎอน1 สัปดาห์ ซี่งก็มีเหตุความรุนแรงปรากฏโดยมีทั้งทหาร ตำรวจ กองกำลังท้องถิ่นและพลเรือน และทั้งพุทธและมุสลิมกลายเป็นเหยื่อสถานการณ์ไปแล้วจำนวนหนึ่ง และกว่าจะผ่านพ้นเดือนรอมฎอนก็ยังตอบไม่ได้ว่าสถานการณ์ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะเกิดอะไรขึ้นตามมาอีก
ทั้งนี้ ในการป้องกันเหตุนั้นก็คงจะเหมือนๆ กับช่วงเดือนรอมฎอนของทุกๆ ปีที่ผ่านมาที่แม่ทัพภาค 4 หรือ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ทุกคนได้สั่งการให้กำลังพลในพื้นที่ปฏิบัติการต่อเป้าหมายที่เป็นโจรใต้หรือแนวร่วมขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ด้วยความเข้มข้น อีกทั้งให้การดูแลความปลอดภัยแก่ประชาชนที่เป็นเป้าหมายอ่อนแออย่างเต็มความสามารถ
แต่ในทางปฏิบัติและข้อเท็จจริง ก็คือ ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา คำสั่งหรือนโยบายในเรื่องนี้แค่เป็นเรื่องที่ดูดีเท่านั้น แต่ยังไม่เคยมีแม่ทัพหรือนายกองคนไหนที่สามารถหยุดความรุนแรงในห้วงของเดือนรอมฎอนได้อย่างสัมฤทธิผล
ทั้งนี้โดยเฉพาะในห้วงเดือนรอมฎอนปีนี้ได้มีเป็นปรากฏการณ์ใหม่เกิดขึ้น เนื่องจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าได้จัดตั้ง “ชุดปฏิบัติการจรยุทธ์”หรือ ชป.จรยุทธ์ซึ่งเปรียบเหมือนชุดปฏิบัติการพิเศษที่มีภารกิจในการหาข่าวที่ตั้งของฝ่ายตรงข้าม และเข้าปิดล้อม ตรวจค้น จับกุม รวมถึงวิสามัญโจรใต้หรือแนวร่วมที่ซ่องสุมกำลังพลเพื่อปฏิบัติการต่อเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนในพื้นที่
ที่ผ่านมา ชป.จรยุทธ์ในพื้นที่ จ.ปัตตานี ก็ได้แสดงความสามารถในการปิดล้อม ตรวจค้น จับเป็นและจับตายแนวร่วมหรือกำลังพลของบีอาร์เอ็นฯ ไปได้หลายราย รวมทั้งสามารถทำลายแหล่งหลบซ่อนของแนวร่วมในพื้นที่เชิงเขาอย่างได้ผล
แต่อย่างไรก็ดี ทุกครั้งที่โจรใต้สูญเสีย สิ่งที่จะติดตามมาคือการเอาคืนต่อเจ้าหน้าที่รัฐ และหากทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐไม่สำเร็จก็อาจจะเบนเป้าไปเป็นไทยพุทธที่เป็นเป้าหมายอ่อนแอ ซึ่งถ้าติดตามความเคลื่อนไหว จะพบว่า นี่เป็นวิธีการของแนวร่วมที่ใช้ในการตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐมาโดยตลอดแบบไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เช่นล่าสุดเมื่อเจ้าหน้าที่วิสามัญแนวร่วมระดับปฏิบัติการที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ก็มีการเอาคืนทันทีด้วยการ ยิงบ้านผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ (ผรส.).ที่ ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา เพื่อล่อให้ ตชด.เข้าพื้นที่แล้ววางระเบิดรถยนต์หุ้มเกราะซ้ำ จนทำให้ ตชด.บาดเจ็บไปทั้งคันรถ
นั่นแสดงให้เห็นว่าวิธีการของโจรใต้หรือแนวร่วมตลอด 15 ปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรเปลี่ยน เช่นเดียวกับการบ่มเพาะสมาชิกในขบวนการด้วยการบิดเบือนหลักศาสนาให้เชื่อว่า การฆ่าฝ่ายตรงข้ามในเดือนรอมฎอนจะได้บุญ 10 เท่า
ที่สำคัญคือคำสั่งบิดเบือนหลักการศาสนาดังกล่าวยังใช้ได้ผลมาอย่างต่อเนื่อง เพราะยังมีคนรุ่นต่อรุ่นที่ถูกนำเข้าขบวนการ แล้วถูกปลูกฝังความเชื่อและปฏิบัติตามคำสอนบิดเบือนนั้น โดยฝีมือของครูสอนศาสนาทั้งที่เรียกกันว่า “บาบอ” หรือ “โต๊ะครู” รวมทั้ง “อุซตาส” ที่อยู่ในขบวนการบีอาร์เอ็นฯ
เมื่อยุทธวิธีที่ใช้อยู่ยังได้ผลดี บีอาร์เอ็นฯ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแผน เพราะวิธีการสร้างเซลล์ใหม่ยังมีประสิทธิภาพ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงหรือโฆษณาชวนเชื่อ เมื่อทำแล้วยังได้ผล นั่นย่อมไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงอันใด
ภาพธง BRN
ทั้งนี้ ในทางกลับกันหน่วยงานความมั่นคงโดยเฉพาะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต่างหากที่ต้องหันมาทบทวนวิธีการในการต่อสู้กับขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ว่าทำไม 15 ปีแล้วยังไม่สามารถที่จะทำลายคำสอนบิดเบือนหลักศาสนานี้ได้ผล ทำไมการบ่มเพาะให้แนวร่วมเชื่อมั่นและเข้าใจผิดว่าการฆ่าคนในเดือนรอมฎอนยังเป็นสิ่งดีงามทำแล้วได้บุญถึง 10 เท่า
หรือว่าเป็นไปตามคำครหาที่ว่าใช้เป็นเงื่อนปมหนึ่ง “เลี้ยงไข้” เพื่อเหตุผลลึกบางประการเพราะที่ผ่านมาได้ทุ่มเท “งบประมาณ” มาแล้วจำนวนมหาศาลเพื่อแก้ไขปัญหาไฟใต้ อีกทั้งให้งบกับผู้นำศาสนาในพื้นที่ ทั้งในรูปแบบการให้ตรงแก่ตัวบุคคล และให้แก่หมู่คณะ เพื่อให้ช่วยเหลือหน่วยงานความมั่นคงในการสร้างความเข้าใจในเรื่อง “การฆ่าคนในเดือนรอมฎอน”แล้วได้บุญ 10 เท่าว่าเป็นเรื่องไม่จริง เป็นการหลอกลวง เป็นการที่ผู้นำศาสนาของบีอาร์เอ็นฯ บิดเบือนหลักศาสนาเพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้แก่แนวร่วมหรือสมาชิกของขบวนการ
ยังมีประเด็นที่ตั้งเป็นข้อสังเกตกับสถานการณ์ความรุนแรงในเดือนรอมฎอนอีกคือ การที่แนวร่วมใช้แผนก่อกวนด้วยการ “ยิงถล่มบ้านเรือนไทยพุทธ” ในหลายพื้นที่แบบไม่หวังผล หรือเพียงแค่เจ็บก็ได้ ตายก็ดี หรือนี่อาจจะต้องการให้เจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะชุด ชป.จรยุทธ์เข้าไปปิดล้อม ตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องสงสัยในห้วงของเดือนรอมฎอนแบบชนิดที่ยิ่งมากเท่าไหร่ ยิ่งดี เพื่อที่บีอาร์เอ็นฯ จะได้นำไปขยายผลในช่องทางไอโอและการโฆษณาชวนเชื่อใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐว่า เป็นการทำลายความสงบสุขพี่น้องมุสลิมในเดือนรอมฎอน
ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่คนร้ายที่ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญเพราะต่อสู้ ไม่ยอมให้จับกุมและไม่ยอมมอบตัว ทำไมเราปล่อยให้คนในครอบครัวคนร้ายได้ปฏิบัติต่อศพเยี่ยง “นักรบผู้พลีชีพ” เหมือนกับผ่านสนามรบอันเป็นสงครามศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งนี่เป็นการปลูกฝังทัศนคติที่เป็นภัยต่อประเทศชาติและประชาชน ที่สำคัญไม่เป็นผลดีต่อการดับไฟใต้ด้วย
ด้วยเงื่อนปมเงื่อนไขเหล่านี้เชื่อได้ว่าจะยังคงใช้กันต่อไป ตราบใดที่ฝ่ายความมั่นคงยังไม่ปรับกลยุทธ์และยุทธวิธีซึ่งเสมือนหนึ่งเป็นการเลี้ยงไข้ก็จะไม่สามารถดับไฟใต้ได้อย่างแน่นอน.