In News
นายกฯกำชับส่วนราชการเร่งรัดเบิกจ่าย งบลงทุนของรัฐหวังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

กรุงเทพฯ-นายกรัฐมนตรีกำชับทุกส่วนราชการเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุน หวังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมสั่งการเตรียมแผนระยะสั้น กลาง ยาว รับมือภัยพิบัติและบริหารจัดการน้ำ
วันนี้ (10 มี.ค. 68) เวลา 11.30 น. ณ ห้องประชุมอารีย์สัมพันธ์ ชั้น 3 อาคารกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถนนพระรามที่ 6 เขตพญาไท กรุงเทพฯ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2568 โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า จำนวน 42 คน เข้าร่วมประชุม
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวมอบนโยบายในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าว่า ปัจจุบันมีงบลงทุนประจำปีงบประมาณ 2568 จำนวน 1.46 ล้านล้านบาท ซึ่งสามารถผลักดัน GDP เติบโตขึ้น 3% ซึ่งประกอบด้วย งบค้างท่อคงค้างมาจากปี 2567 จำนวน 275,009 ล้านบาท งบลงทุนในงบประมาณ 2568 จำนวน 932,402 ล้านบาท และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ 2568 จำนวน 253,545 ล้านบาท แต่ภาพรวมการเบิกจ่ายงบลงทุนอยู่ที่ 28.12% ถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหน้าที่ของทุกคน ที่ต้องช่วยกันกำกับดูแลและเร่งการเบิกจ่ายงบลงทุน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้น GDP ของประเทศ
โดยกระทรวงที่ได้รับการจัดสรรงบลงทุนมากที่สุด ได้แก่ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงรัฐวิสาหกิจ ขอให้หัวหน้าส่วนราชการใช้ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนเป็น KPI ในการประเมินผลการทำงานของอธิบดีกรมและหัวหน้าหน่วยงานที่กำกับต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึง มาตรการเชิงรุกในการรับมือภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ทั้งปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง ฝุ่นควัน น้ำป่าไหลหลาก และดินถล่ม ขอให้ทุกหน่วยงานเตรียมแผนบริหารจัดการทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อลดความเสียหายต่อประชาชน
“ไม่ต้องการให้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น เพราะสุดท้ายต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการซ่อมแซมและเยียวยา หากสามารถป้องกันปัญหาล่วงหน้าได้ ย่อมคุ้มค่ากว่าการแก้ไขภายหลัง ทั้งนี้ งบประมาณสำหรับการเยียวยาและซ่อมแซมไม่ใช่ปัญหา แต่ความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติเป็นสิ่งที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ หากสามารถลดผลกระทบเหล่านี้ลงโดยไม่ต้องเสียงบประมาณจำนวนมากในอนาคต ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำ
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญถึงการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ทั้งน้ำประปา น้ำบาดาล น้ำเพื่ออุปโภคบริโภค และน้ำสำหรับภาคอุตสาหกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเหล่านี้มากที่สุด โดยขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างเต็มที่ หากมีปัญหาหรืออุปสรรคในการดำเนินงาน ขอให้แจ้งโดยตรงหรือนัดหารือเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด