Authority & Harm
จเรตร.กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทย ข้อหาหนัก'อาชญากรรมข้ามชาติ'

กรุงเทพฯ-จเรตำรวจแห่งชาติแถลงผลปฏิบัติการ “กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทยในประเทศเพื่อนบ้าน ดำเนินคดีข้อหาอาชญากรรมข้ามชาติ”
วันนี้ (1 เมษายน 2568) เวลา 16.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศปอส.ตร./ผอ.ศตคม.ตร.) พร้อมด้วย นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน , พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รอง ผบช.ทท. , พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. , พล.ต.ต. ศรายุทธ จุณณวัตต์ ผบก.สอท.2 , พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภ.2 , พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3. และ พ.ต.อ.ไกลเขต บุรีรักษ์ รอง ผบก.ภ.จว.สระแก้ว แถลงผลปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รับตัวคนไทย 56 คน จากเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา มาดำเนินคดีในไทย พบเชื่อมโยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 1,154 คดี สร้างความเสียหายให้เพื่อนร่วมชาติแล้วกว่า 709 ล้านบาท ณ บริเวณชั้น 1 บก.สอท.2 เมืองทองธานี
จากการกวาดล้างจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของตำรวจกัมพูชา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จับกุมคนไทย 119 คน ส่งตัวกลับไทยมาดำเนินคดีข้อหาอาชญากรรมข้ามชาติ จากเมืองปอยเปต ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ทางกัมพูชา โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา ได้สั่งการให้ตำรวจกัมพูชาจากส่วนกลางเข้ากวาดล้างตรวจค้นพื้นที่ 2 จุด ในเมืองปอยเปต ซึ่งเป็นแหล่งที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทยที่ทำหน้าที่ในการหาคนไทยมาเปิดบัญชีม้าและบัญชีคริปโต และการสแกนหน้าเพื่อหลอกลวงคนไทย รวมทั้งเป็นที่ตั้งของกลุ่มคนไทยขายชาติหลอกลวงคนไทยด้วยกัน การกวาดล้างดังกล่าวสามารถจับกุมคนไทยได้ทั้งหมด 63 คน แยกเป็นชาย 41 คน หญิง 22 คน โดยทางตำรวจกัมพูชาได้นำคนไทย 7 คน เป็นชาย 6 คน หญิง 1 คน ซึ่งคาดว่าเป็นระดับสั่งการไปขยายผลดำเนินคดีในส่วนที่เกี่ยวข้อง และส่งคนไทยจำนวน 56 คน กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย
จากการตรวจสอบของทางตำรวจไทย พบว่าคนไทยทั้งหมด 56 คน เป็นชาย 35 คน หญิง 21 คน เป็นเด็กอายุ 3 ปี จำนวน 1 คน , เด็กอายุ 8 ปี จำนวน 1 คน มีหมายจับจำนวน 5 คน เกี่ยวข้องกับ case ID 1,154 คดี มูลค่าความเสียหาย 709,495,881 บาท และในการเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อ ไม่พบว่าบุคคลเหล่านี้ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์แต่อย่างใด ผู้ที่ถูกส่งตัวกลับมาเดินทางข้ามช่องธรรมชาติโดยผิดกฎหมาย จำนวน 53 คน ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศผ่านช่องตรวจคนเข้าเมืองอย่างถูกกฎหมายแต่อย่างใด และทุกคนไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายตามร่างกาย
โดยผู้ต้องหาส่วนใหญ่มีพฤติการณ์ในลักษณะคล้ายกันคือ เริ่มต้นจากการถูกชักชวนผ่านสื่อโซเชียลให้ไปทำงาน จากนั้นได้ถูกพาไปเปิดบัญชีธนาคารโดยรับค่าจ้างประมาณ 3-5 พันบาทต่อบัญชี และเดินทางข้ามชายแดนผ่านช่องทางธรรมชาติไปฝั่งปอยเปต พักคอยเพื่อรอสแกนหน้าในการโอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากการสอบถามหนึ่งในผู้ต้องหา ให้การว่า ขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวได้มีการรวบรวมม้ารับจ้างเปิดบัญชี โดยจะมีรถมารับถึงที่บ้านไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด แล้วนำพาข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย ก่อนจะให้ไปอยู่รวมกันที่ตึกทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น ที่เมืองปอยเปต สถานที่ดังกล่าวมีการจัดแบ่งพื้นที่พักอาศัย แยกตามเพศชายและหญิง ภายในบ้านมีการจัดเตรียมฟูกสำหรับการพักอาศัย รวมถึงมีการจัดหาอาหารให้ โดยผู้รับจ้างจะต้องเปิดบัญชีธนาคารออนไลน์และบัญชีทรัพย์สินดิจิทัล เพื่อใช้ในการถ่ายเททรัพย์สินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เมื่อวันจันทร์ที่ 31 มีนาคม 2568 ศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับทั้งหมดจำนวน 54 คน ตามคำร้องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในข้อหา “ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ , ร่วมกันเป็นอั้งยี่ , ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” โดยขณะนี้ได้ถูกควบคุมตัวตามกระบวนการทางกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบอย่างเข้มข้น ทำให้กลุ่มขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทย ไม่สามารถที่จะใช้ช่องกระบวนการคัดแยกเหยื่อเพื่อกล่าวอ้างว่าเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ เพื่อไม่ให้ถูกดำเนินคดีจากการที่ไปร่วมกันหลอกลวงคนไทยได้อีกต่อไป และต้องขอขอบคุณทางนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของกัมพูชา ที่ได้สั่งการให้กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทยที่ไปลักลอบตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชา และส่งคนไทยเหล่านี้มาดำเนินคดีในประเทศไทย ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีของไทยได้มีการหารือกันอย่างใกล้ชิดกับทางนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เพื่อกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์คนไทยลักลอบตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชา มาหลอกลวงคนไทยในประเทศไทยให้หมดสิ้นไป