In News

รัฐฯจับมือทุกภาคส่วนสร้างตระหนักรู้ถึง อันตรายบุหรี่ไฟฟ้า/รัฐฯแบกค่ารักษา300ล.



กรุงเทพฯ-วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2568  เวลา 08.45 น.  นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันปัญหาการแพร่ระบาดของการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้ายังคงมีความน่าเป็นห่วง ด้วยการเข้ามาของเทคโนโลยีและช่องทางการซื้อขายสินค้าผ่านโซเชียลมีเดีย เพจ และเว็บไซต์ ทำให้มีการแอบลักลอบนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในหลายพื้นที่ อีกทั้งด้วยกลยุทธ์ของผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าที่มักมีการ มุ่งเป้าไปยังกลุ่มเด็กและเยาวชน ผ่านการทำโปรโมชันราคาถูก ที่มาพร้อมรูปลักษณะบุหรี่ไฟฟ้าที่แปลกใหม่ อย่างเช่น Toy Pod ที่ได้มีการปรับโฉมเปลี่ยนบุหรี่ไฟฟ้าแบบเดิม ทำการเลียนแบบตัวการ์ตูนฮิตหรืออาร์ตทอย พร้อมด้วยการแต่งเติมกลิ่นให้มีความหอมลักษณะคล้ายขนมหวาน จึงเป็นสาเหตุทำให้ปัจจุบันมีเด็กและเยาวชนเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ง่ายและมีการใช้อย่างแพร่หลาย โดยข้อมูลล่าสุดของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เผยตัวเลขในปี 2567 พบคนไทยมีอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงถึง 900,459 คน ขณะที่เด็กเยาวชน อายุ 13 - 15 ปี มีอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 5.3 เท่าใน 7 ปี โดยพื้นที่ที่มีความน่าเป็นห่วงมากเป็นอันดับต้น ได้แก่ พื้นที่ภาคใต้ที่ยังคงพบอัตราตัวเลขผู้สูบบุหรี่สูงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคทั้งหมด            

นายอนุกูล กล่าวว่า รัฐบาลได้มุ่งทำงานควบคุมปัจจัยเสี่ยงโดยได้คำนึงถึงบริบทที่แตกต่างกันของพื้นที่และกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเดินหน้าขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาร่วมกับภาคีเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง โดยได้มุ่งเน้นที่กลุ่มเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อป้องกันและลดการใช้บุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าให้ได้มากที่สุด ด้วยการผลักดันมาตรการประสานความร่วมมือ ชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะในระดับตำบลซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยสร้างเสริมความเข้มแข็งในการลดการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าได้ โดยมี ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะประเด็น (ศชช.), ศูนย์จัดการเครือข่ายสุขภาวะชุมชน (ศจค.) และ ศูนย์ประสานงานเครือข่ายเฉพาะประเด็น (ศปง.) ทำหน้าที่พัฒนาความสามารถของพื้นที่ในการจัดการกับปัจจัยเสี่ยง และเพิ่มปัจจัยเสริมสุขภาพเป้าหมายสำคัญ คือลดอัตราการสูบบุหรี่ในพื้นที่ลงไม่น้อยกว่า 10% ของคนสูบบุหรี่ในพื้นที่ ที่เก็บจากระบบข้อมูล TCNAP 

อย่างไรก็ตาม เพื่อเดินหน้าการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ รัฐบาลได้มีการผลักดันการมีส่วนร่วมของศาสนาและการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมเข้ามามีส่วนสำคัญ ด้วยแนวทาง “มัสยิดปลอดบุหรี่” และ “ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กปลอดบุหรี่ 100%” โดยจัดทำข้อตกลงร่วมกับผู้นำศาสนาให้มัสยิดทุกแห่งปลอดควันบุหรี่ และใช้หลักศาสนาเป็นแนวทางกำกับพฤติกรรม นอกจากนี้ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของเทศบาลยังรณรงค์สร้างภูมิคุ้มกันเด็กปฐมวัย ด้วยกิจกรรมสื่อสารสร้างความเข้าใจให้แก่เด็กและเยาวชนผ่านระบบการศึกษา สอดแทรกทักษะการปฏิเสธ และเรื่องการลด ละ เลิกบุหรี่ในแผนการเรียนรู้ เพื่อสร้างจิตสำนึกตั้งแต่วัยเยาว์ 

“รัฐบาลขอให้ประชาชนตระหนักถึงว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้า เป็นพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้า และบุหรี่แบบไอระเหยมีนิโคตินสังเคราะห์ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ระบุว่า นิโคตินเป็นสารเสพติดสูงและผู้สูบจะเสี่ยงต่อปัจจัย 4 โรค คือ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด โรคหอบหืด ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่ผลกระทบต่อสุขภาพของตัวบุคคลที่จะได้รับแล้ว แต่เมื่อเจ็บป่วยจากโรคที่เกิดจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้าทำให้ รัฐต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลในระยะยาวซึ่งนำมาสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2567 พบต้นทุนค่ารักษาพยาบาลของโรคที่เกิดจากบุหรี่ไฟฟ้า ระยะยาวกว่า 306,636,973 บาท” นายอนุกูล ระบุ