Health & Beauty
แพทย์-นักวิชาการค้านสร้างห้องสูบบุหรี่ ในอาคารสนามบินสุวรรณภูมิ

กรุงเทพฯ-เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย (สสท.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ได้เข้ายื่นหนังสือ ถึง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ (คผยช.) เรื่อง ขอเสนอแนวทางการแก้ปัญหาเรื่องการจัดเขตสูบบุหรี่ในสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.
ศ.พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ กล่าวว่า ตามที่ ทอท. เสนอให้กระทรวงสาธารณสุขแก้กฎหมาย เพื่ออนุญาตให้สามารถสร้างห้องสูบบุหรี่ภายในอาคารเทียบเครื่องบินรอง (SAT-1) สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งแต่เดิมประเทศไทยได้ยกเลิกกฎหมายห้องสูบบุหรี่ในอาคารสนามบินมานานถึง 6 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2562 เพื่อคุ้มครองสุขภาพของทุกคนจากอันตรายของควันบุหรี่มือสอง และเป็นนโยบายที่สนับสนุนและสอดคล้องต่อเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ จึงมีความกังวลต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ ดังนี้
1. มาตรา 8 ของ กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) ที่ประเทศไทยได้ร่วมลงนามรับรองและเข้าเป็นภาคี ซึ่งมาตรานี้เน้นถึงการปกป้องบุคคลและประชาชนจากการได้รับควันบุหรี่ มีหลักการพื้นฐานที่ว่า การปกป้องคุ้มครองผู้ที่ไม่สูบบุหรี่จากควันบุหรี่นั้นต้องจำกัดไม่ให้มีการสูบบุหรี่หรือเกิดควันบุหรี่ในพื้นที่นั้นๆ จึงจะสามารถสร้างพื้นที่ปลอดบุหรี่ 100% ได้
2. หลักฐานวิชาการยืนยันว่า ไม่มีระดับที่ปลอดภัยในการได้รับควันบุหรี่หรือบุหรี่มือสอง นอกจากนั้นแนวทางการจัดการอื่น ๆ เช่น การไหลเวียนอากาศ การกรองอากาศ ในห้องสูบบุหรี่ งานวิจัยยืนยันว่า ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการคุ้มครองประชาชนจากการได้รับควันบุหรี่
3. การสำรวจในสนามบินนานาชาติ 4 แห่งของประเทศไทย เมื่อกุมภาพันธ์ 2568 พบว่า ผู้สูบบุหรี่ส่วนใหญ่กว่า 99.7% สามารถปฏิบัติตามข้อห้ามสูบบุหรี่ภายในอาคารได้โดยสมัครใจ โดยมีเพียง 0.3% เท่านั้นที่ฝ่าฝืนกฎ ซึ่งสะท้อนว่า การไม่มีห้องสูบบุหรี่ภายในอาคารสนามบินในทางปฏิบัติก็สามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในหมู่ผู้ใช้บริการ
4. จากการทบทวนรายงานในต่างประเทศ ท่าอากาศยานที่มีอากาศยานขึ้น/ลงมากที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 32 จาก 35 แห่งเป็นสนามบินปลอดบุหรี่ และท่าอากาศยานนานาชาติขนาดใหญ่ที่ยกเลิกห้องสูบบุหรี่ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเพิ่มขึ้นดังต่อไปนี้ 1) ท่าอากาศยานนานาชาตินครหลวง ปักกิ่ง 2) ท่าอากาศยานนครชิคาโก โอแฮร์ 3) ท่าอากาศยานนครลอนดอน ฮีทโรว์ 4) ท่าอากาศยานนานาชาตินคร ลอสแองเจลิส และ 5) ท่าอากาศยานนานาชาตินคร เซี่ยงไฮ้ ปูดง
ดังนั้นการมีห้องสูบบุหรี่ภายในอาคารสนามบิน จึงถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างพื้นที่ปลอดควันบุหรี่อย่างแท้จริง ข้อมูลเชิงประจักษ์จากต่างประเทศและไทยล้วนยืนยันว่า การยกเลิกห้องสูบบุหรี่ในสนามบินไม่ก่อให้เกิดปัญหาด้านการควบคุมหรือบังคับใช้กฎหมายแต่อย่างใด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นี่คือแนวทางที่ควรได้รับการสนับสนุน เพื่อสร้างสนามบินสีเขียวที่สะอาด ปลอดภัย และเป็นมิตรกับทุกคน
รศ.ดร.เนาวรัตน์ เจริญค้า ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมสุขภาพไทย กล่าวว่า จึงขอเสนอแนวทางทางการแก้ปัญหาเรื่องการจัดเขตสูบบุหรี่ในอาคาร SAT-1 สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ของ ทอท. ต่อคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ ดังนี้
1. ขอให้ชะลอการปรับแก้ประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2561 ตลอดจนการพิจารณา ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดประเภทหรือชื่อของสถานที่สาธารณะ สถานที่ทำงาน และยานพาหนะให้ส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดของสถานที่และยานพาหนะเป็นเขตปลอดบุหรี่ หรือเขตสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่ (ฉบับที่ 2) ไปก่อน โดยขอให้ ทอท. อนุมัติให้คณะทำงานเข้าทำงานวิจัยสำรวจการลักลอบสูบบุหรี่ในพื้นที่พักคอยเพื่อเปลี่ยนเครื่อง (Transit Area) ของ SAT-1 สนามบินสุวรรณภูมิ
2. ขอให้ปรับเปลี่ยนห้องที่จะใช้เป็นห้องสูบบุหรี่ในอาคารดังกล่าวเป็นห้องบุหรี่ไร้ควัน (Smokeless-smoking room) โดยให้ผู้โดยสารที่เป็น Nicotine dependence มาใช้บริการรับสารทดแทนนิโคตินที่ปลอดควัน เช่น หมากฝรั่งนิโคติน, Snus หรือ ยา cytisine โดยไม่คิดมูลค่า ซึ่งคุ้มค่ากว่าการสร้างห้องสูบบุหรี่
3. หากจำเป็นต้องมีห้องสูบบุหรี่ ต้องอยู่นอกอาคารสนามบินเท่านั้น ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย เพื่อคุ้มครองสุขภาพประชาชนไทยและผู้ใช้สนามบินจากทั่วโลก