ECO & ESG

'บ้านปลามีชีวิต'ช่วยฟื้นทรัพยากรสัตว์น้ำ ฟื้นชีวิตประมงพื้นบ้านทะเลสาบสงขลา



ซั้ง ภูมิปัญญาชาวประมงที่เกิดจากการนำวัสดุธรรมชาติที่หาได้ง่าย เช่น กิ่งและลำต้นของไม้ชายเลนมากองหรือผูกและทิ้งไว้ในทะเล เพื่อล่อให้สัตว์ทะเลเข้ามาใช้เป็นแหล่งหากินและใช้หลบซ่อนตัว ก่อนจะใช้เครื่องมือประมงมาล้อมจับและนำขึ้นมาขาย  แต่วันนี้ซั้งได้ถูกพัฒนามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับชุมชนประมงชายฝั่งหลายแห่ง ภายใต้ชื่อบ้านปลา

ปัจจุบันชุมชนชาวประมงในทะเลสาบสงขลา เริ่มมีการใช้ซั้งเพื่อเป็นบ้านปลาในพื้นที่เขตอนุรักษ์ห้ามจับสัตว์น้ำของชุมชน โดยส่วนใหญ่จะเป็น “ซั้งกอ” ที่เป็นการนำวัสดุ เช่น ลำไม้ไผ่ มากั้นเป็นคอกสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 4X4 เมตร และนำกิ่งไม้ที่หาใด้ในชุมชน เช่น ทางปาล์ม ทางมะพร้าว กิ่งเสม็ด กิ่งลำพู มาใส่หรือปักไว้ในคอก สำหรับใช้เป็นที่เกาะของสาหร่ายและสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก รวมถึงแพลงก์ตอนที่เป็นอาหารของลูกปลาขนาดเล็ก  ทำให้บ้านปลากลายเป็นแหล่งอาหารและที่หลบซ่อนตัวจากศัตรูตามธรรมชาติ ช่วยปริมาณสัตว์น้ำเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว  

“เมื่อเปรียบเทียบปริมาณสัตว์น้ำก่อนและหลังการทำบ้านปลาในทะเลสาบสงขลา เราพบว่า ก่อนทำบ้านปลาน้ำหนักของสัตว์น้ำในบริเวณดังกล่าวอยู่ที่ 0.3 กิโลกรัม แต่เมื่อทำบ้านปลาให้สัตว์น้ำได้ใช้เป็นแหล่งอาหารและแหล่งพักพิงไปแล้ว น้ำหนักสัตว์น้ำเพิ่มเป็น 0.72 กิโลกรัม หรือคิดเป็นปริมาณปลาที่เพิ่มขึ้น 140 เปอร์เซ็นต์    และยังพบอีกว่าปลาที่อยู่โดยรอบบ้านปลาจะมีน้ำหนักเฉลี่ย 2.5 กิโลกรัม  ขณะที่ปลานอกเขตบ้านปลามีน้ำหนักเฉลี่ยเพียง 0.6 กิโลกรัม    ที่สำคัญคือ ชาวประมงในชุมชนที่มีการทำบ้านปลาจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 16,000-24,000 บาทต่อเดือน เป็นเดือนละ 40,000-52,000 บาท  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เตือนตา ร่าหมาน  คณะวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยทักษิณ  ที่ทำการศึกษาความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำในบริเวณบ้านปลา ภายใต้งานวิจัย “การจัดการอนุรักษ์ปลาสามน้ำของชุมชนในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาอย่างมีส่วนร่วมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางสังคม ของมหาวิทยาลัยทักษิณ โดยการสนับสนุนของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ให้ข้อมูล

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบ้านปลา จะช่วยให้สัตว์น้ำมีปริมาณเพิ่มขึ้น ชาวประมงมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ชุมชนในทะเลสาบสงขลาที่ทำบ้านปลาและประสบความสำเร็จยังมีจำนวนจำกัด   สาเหตุหนึ่งเกิดจากวัสดุในการทำบ้านปลาที่เป็นวัสดุธรรมชาติสามารถย่อยสลายได้  ทำให้จำเป็นต้องมีการซ่อมบำรุงคอก รวมถึงเปลี่ยนกิ่งไม้ทุก 6 เดือน  ซึ่งการหาคนที่จะมาทำหน้าที่นี้อย่างต่อเนื่อง คือเงื่อนไขสำคัญของการทำบ้านปลาให้ประสบความสำเร็จ

“ที่ผ่านมาการทำงานอนุรักษ์ในชุมชนจะคล้ายกับงานจิตอาสา พอทำช่วงนึงมันจะมีอุปสรรคหลาย อย่างที่ทำให้หมดกำลังใจ ระยะแรกคนในชุมชนอาจจะให้ความร่วมมือ แต่เมื่อจำนวนปลาเริ่มมากขึ้น ก็จะเริ่มมีการแอบจับ หรือไม่ยอมรับข้อตกลงที่กำหนดไว้  ซึ่งคนที่อยากรักษาพื้นที่อนุรักษ์ไว้ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีอำนาจ ไม่มีกฎหมายในมือ  โดยเฉพาะบ้านปลาซึ่งต้องมีต้นทุนในการดูแลซ่อมแซม หากขาดระเบียบปฏิบัติที่ชัดเจน ไม่มีการวางแผนเรื่องรายรับรายจ่าย ก็จะมีปัญหาต่าง ๆ ตามมา จนกลุ่มไม่สามารถทำต่อได้” หัวหน้าโครงการวิจัยให้ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ชุมชนประมงที่เข้าร่วมโครงการ 

ผลจากการดำเนินโครงการวิจัย ในช่วงปี 2565-2566  สามารถทำให้เกิดกองทุนหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์ และมีกิจกรรมต่อยอดจากการอนุรักษ์ต่าง ๆ ในชุมชนรอบทะเลสาบสงขลาที่เข้าร่วมโครงการ และยังทำให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างชุมชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  เช่น ประมงจังหวัด เพื่อคอยกำกับดูแลการทำประมงไม่ให้รุกล้ำเข้าไปในเขตอนุรักษ์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง  ทำให้ “บ้านปลา” ในหลายชุมชนสามารถเป็นพื้นที่ฟูมฟักและเพิ่มปริมาณทรัพยากรสัตว์น้ำได้จริง    ที่สำคัญคือ ทีมวิจัยและชุมชนบ้านใหม่ หมู่ 1 ตำบลสทิ้งหม้อ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ยังได้ร่วมกันพัฒนานวัตกรรมที่ปิดจุดอ่อนของบ้านปลาที่ต้องการการดูแลอย่างสม่ำเสมอ  มาเป็น “บ้านปลามีชีวิต” ที่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ เมื่อเวลาผ่านไปจะยิ่งแข็งแรงมากขึ้น

“บ้านปลามีชีวิต” เป็นนวัตกรรมที่เริ่มต้นจากภูมิปัญญาของคนในชุมชนบ้านใหม่ หมู่ 1 ที่คิดว่าหากเปลี่ยนจากการใช้กิ่งไม้เป็นการปลูกต้นไม้ที่มีชีวิตและเติบโตได้ น่าจะทำให้ได้บ้านปลาที่แข็งแรงและใช้ประโยชน์ได้นานกว่า   ทำให้บ้านปลามีชีวิตที่ชุมชนบ้านใหม่และทีมวิจัยร่วมกันพัฒนาขึ้นมา เปลี่ยนจากการใช้กิ่งไม้มาเป็นการวางท่อซีเมนต์หรือถังพลาสติกที่บรรจุดินเลนไว้ภายในลงไปคอก และนำต้นโกงกางที่เพาะไว้มาปลูกบนท่อหรือถังเหล่านั้นแทนการปักด้วยกิ่งไม้   โดยพบว่าเมื่อต้นโกงกางเติบโตขึ้น จะมี “รากค้ำจุน”งอกออกจากด้านข้างของลำต้นและโค้งปักลงบนพื้นดินเลนที่อยู่โดยรอบท่อ  ซึ่งรากน้อยใหญ่เหล่านี้นอกจากจะช่วยพยุงต้นโกงกางให้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงแล้ว ยังช่วยสร้างระบบนิเวศของปลาตัวอ่อน ที่ให้ทั้งอาหารและแหล่งหลบซ่อน จนมีขนาดโตพอจะออกไปหากินและแพร่พันธุ์ต่อไป

นางสาวอุไรพรรณ หมอชื่น  สมาชิกของกลุ่มอนุรักษ์ชายฝั่งและฟาร์มทะเลชุมชนบ้านใหม่ หมู่ที่ 1  ผู้คิดชื่อ “บ้านปลามีชีวิต” กล่าวว่า เหตุผลที่เลือกใช้คำว่าบ้านปลามีชีวิต  เพราะสามารถสื่อความหมายถึงการนำสิ่งมีชีวิตอย่างต้นโกงกางมาเป็นสถานที่ให้ชีวิตกับสัตว์น้อยใหญ่ต่าง ๆ ที่มาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ทั้งในน้ำและบนต้น ขณะที่การมีอยู่ของบ้านปลาแห่งนี้ ได้ทำให้ชีวิตของคนในชุมชนดีขึ้น ทั้งอาชีพประมง การมีรายได้จากการท่องเที่ยว และการปลุกจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ให้กับคนในชุมชนและเด็กเยาวชน

“ผลการทดลองทำบ้านปลามีชีวิตร่วมกับการทำเขตอนุรักษ์ที่ชุมชนบ้านใหม่ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา พบว่า หลังจากทำบ้านปลามีชีวิตไปแล้ว 4 เดือน พบว่าบริเวณที่มีการทำบ้านปลาและในเขตอนุรักษ์จะพบปลา 9 ชนิด ขณะที่พบปลานอกเขตอนุรักษ์เพียง  2 ชนิด นอกจากนี้น้ำหนักของปลาที่จับจากบริเวณบ้านปลามีชีวิตขึ้นมาชั่งจะได้ปลาคิดเป็นน้ำหนัก 17.2 กิโลกรัม ขณะที่ปลาที่จับได้ในบริเวณที่ไม่มีบ้านปลา จะชั่งน้ำหนักได้  1.5 กิโลกรัม ซึ่งผลการประเมินแสดงให้เห็นประสิทธิภาพของการทำบ้านปลาและเขตอนุรักษ์ได้เป็นอย่างดี  เมื่อคำนวณ SROI (ผลตอบแทนทางสังคม) ของโครงการนี้เท่ากับ 5.72 นั่นคือ ลงทุนทำกิจกรรมไป 1 บาท ได้ผลตอบแทน 5.72 บาท” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เตือนตา สรุป

และด้วยความโดดเด่นของนวัตกรรมจากภูมิปัญญาของชุมชน ทำให้ “บ้านปลามีชีวิต” ได้รับรางวัลระดับดีเด่นประเภทนวัตกรรม/เทคโนโลยีที่เหมาะสม ในงานชุมชนนวัตกรรมแห่งการเรียนรู้ ปีที่ 2  และคว้ารางวัล SILVER MEDAL จากเวที "2024 Kaohsiung International Invention and Design EXPO" (KIDE 2024)  ซึ่งเป็นเวทีประกวดนวัตกรรมระดับนานาขาติ ที่ประเทศไต้หวันได้อีกด้วย

โดย...หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)