In News
กรุงเทพฯคว้าเมืองน่าประชุม1ในอาเซียน ขึ้นแท่นติดท็อป10ของโลกในปี2024

กรุงเทพฯ-ไทยแลนด์ต่างชาติบอกน่ามาประชุมขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งอาเซียนด้านไมซ์ กรุงเทพฯ ทะยานติดท็อป 10 เมืองจัดประชุมนานาชาติของโลก
วันนี้ (14 มิถุนายน 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สมาคมการจัดประชุมนานาชาติ (International Congress and Convention Association : ICCA) ได้เปิดเผยรายงาน GlobeWatch Business Analytics-Country & City Rankings ล่าสุดประจำปี 2567 ในงาน IMEX Frankfurt 2025 ที่ประเทศเยอรมนี โดยรายงานฉบับนี้ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากการจัดประชุมกว่า 11,000 รายการที่จัดขึ้นทั่วโลกในปี 2567 จากการวิเคราะห์ชี้ว่าภูมิภาคเอเชียมีความโดดเด่นได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 สำหรับการจัดประชุมนานาชาติรองจากทวีปยุโรป พบว่าประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติรวม 158 งาน เพิ่มขึ้นจาก 143 งานในปี 2566 ทำให้ประเทศไทยขยับจากอันดับที่ 26 ของโลกในปี 2566 ขึ้นสู่อันดับที่ 25 ในปี 2567 พร้อมทั้งครองอันดับ 5 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน
สำหรับผลงานที่โดดเด่นสุดในระดับเมืองคือ กรุงเทพฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติรวม 115 งาน ก้าวขึ้นสู่อันดับ 7 ของโลก ในฐานะเมืองจุดหมายปลายทางการประชุมนานาชาติระดับโลก ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดจากอันดับที่ 15 ในปี 2566 อีกทั้ง กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับที่ 3 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และอันดับที่ 2 ในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ กรุงเทพฯ ยังได้รับการยืนยันจาก Cvent ในการประกาศรายชื่อ 2025 Top Meeting Destinations ในงาน IMEX Frankfurt 2025 ว่าเป็นเมืองอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รองจากสิงคโปร์ ซึ่งผลการจัดอันดับนี้อ้างอิงจากกิจกรรมของผู้วางแผนและผู้จัดงานในการจัดหาและการขอข้อเสนอ (RFP) สำหรับการจัดงานจากเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีมูลค่ารวมมากกว่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ อีกหนึ่งความสำเร็จครั้งสำคัญของประเทศไทยในรอบปี 2567 คือ มีจำนวนเมืองมากถึง 13 เมือง ได้รับการจัดอันดับในรายงานของ ICCA เป็นครั้งแรก นอกจากกรุงเทพฯ ยังมีอีก 12 เมือง ที่ได้รับการจัดอันดับประกอบด้วย เชียงใหม่ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม 12 งาน พัทยา 10 งาน ภูเก็ต 8 งาน ชลบุรี 3 งาน เชียงราย 2 งาน ปทุมธานี 2 งาน หัวหิน 1 งาน ขอนแก่น 1 งาน สมุย 1 งาน นครราชสีมา 1 งาน นนทบุรี 1 งาน และปัตตานี 1 งาน
ในปี 2567 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศสามารถดึงดูดนักเดินทางทั้งในและต่างประเทศ 25,350,288 คน สร้างรายได้ 148,341 ล้านบาท เกิดเป็นรายได้ประชาชาติรวมมูลค่ากว่า 309,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.67% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP ของประเทศไทย โดยสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือทีเส็บ พร้อมเดินหน้า 5 ยุทธศาสตร์ มุ่งใช้ดิจิทัล ความหลากหลายอัตลักษณ์พื้นที่ พัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ไทย รวมถึงใช้กลยุทธ์ 3S - Stay Longer, Spend More, See You Again เพิ่มขีดความสามารถไมซ์ สร้างรายได้เข้าประเทศ และบุกเจาะตลาดกลุ่ม BRICS ตั้งเป้าปี 2568 ดึงดูดนักเดินทางไมซ์ทั้งในและต่างประเทศ 34 ล้านคน รายได้ 2 แสนล้านบาท พร้อมเป้าหมายพิชิตอันดับการเป็นจุดหมายปลายทางไมซ์แห่งเอเชีย
“รัฐบาลพร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมไมซ์ในทุกมิติ โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพของเมืองรองให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการบริการ โครงสร้างพื้นฐาน และความสามารถในการจัดการประชุมระดับนานาชาติ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในภูมิภาค และก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางไมซ์ระดับโลกอย่างแท้จริง” นางสาวศศิกานต์ ย้ำ