Think In Truth

วัฒนธรรมภูมิภาคไม่ใช่ของใครคนเดียว นักวิชาการมธ.แนะ‘ไทย’ยื่นหลักฐานร่วมขึ้นทะเบียนกับ‘ยูเนสโก’



นักวิชาการธรรมศาสตร์ ชี้ “กัมพูชา” ขึ้นทะเบียนละครรำกับยูเนสโก โดยหลักการไม่ถือเป็นการผูกขาดหรือประกาศความเป็นเจ้าของเหนือวัฒนธรรมใดๆอย่างสมบูรณ์ แนะ “ไทย”ควรพิจารณายื่นเสนอชื่อในนามตัวเอง พร้อมแนบหลักฐานเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวโยงทางวัฒนธรรมและบทบาทร่วมในฐานะสังคมที่มีรากวัฒนธรรมร่วมกันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

จากกรณีที่เกิดกระแสวิพากษ์ในสังคมออนไลน์เมื่อมีผู้ใช้งานจำนวนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่าประเทศกัมพูชาได้นำวรรณกรรมที่มีต้นทางจากไทยไปขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้” กับองค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก)หรือเมื่อ 17 ปีก่อนสร้างความกังวลในหมู่ประชาชนไทยบางส่วนเกี่ยวกับสิทธิในการใช้และเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรมดังกล่าวในระดับนานาชาติกระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2568 กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้ชี้แจงว่ารายการที่กัมพูชานำไปขึ้นทะเบียนนั้นคือ “การแสดงละครรำแบบเขมร” ไม่ใช่วรรณกรรมตามที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสังคม

ผศ.ดร.ธนภัทรชาตินักรบอาจารย์ประจำ ศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่าการขึ้นทะเบียนวัฒนธรรมกับยูเนสโกตามอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้พ.ศ. 2546 (2003 Convention for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage of Humanity) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมร่วมของมนุษยชาติมิใช่การจำกัดสิทธิของประเทศใดประเทศหนึ่งในการใช้หรือสืบทอดวัฒนธรรมดังกล่าวและไม่ใช่การรับรองสิทธิแต่เพียงผู้เดียวหรือสิทธิในเชิงทรัพย์สินทางปัญญา

"ความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสังคมไทยส่วนหนึ่งเกิดจากการตีความว่าการขึ้นทะเบียนกับยูเนสโกเสมือนการได้รับลิขสิทธิ์ขาดซึ่งไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอนุสัญญาฯที่ไม่ได้มีบทบัญญัติใดระบุว่าการขึ้นทะเบียนจะกระทบต่อสิทธิของประเทศอื่นที่มีวัฒนธรรมร่วมกัน"นักวิชาการธรรมศาสตร์ระบุ

ทั้งนี้หากประเทศไทยมีความกังวลต่อการขึ้นทะเบียนวัฒนธรรมของกัมพูชาอนุสัญญายูเนสโกฯได้เปิดทางให้รัฐภาคีสามารถยื่นข้อทักท้วงหรือแสดงความเห็นต่อรายการที่เสนอขึ้นทะเบียนได้กรณีเห็นว่ามีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของตนสามารถยื่นข้อมูลหรือหลักฐานประกอบว่าวัฒนธรรมดังกล่าวมีต้นกำเนิดหรือพัฒนาการร่วมกับประเทศของตนอย่างไร ซึ่งหากยูเนสโกพิจารณาแล้วเห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าวจะดำเนินการเพิ่มเติมอ้างอิงให้แก่ประเทศต้นทางหรือระบุให้รายการดังกล่าวเป็นการขึ้นทะเบียนร่วมระหว่างสองประเทศในเอกสารประกอบอย่างเป็นทางการ

“วัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีความคล้ายคลึงกันสูงจนยากที่จะแยกขาดได้ว่าใดเป็นต้นฉบับแท้จริงโดยเฉพาะเมื่อมีประวัติศาสตร์การแลกเปลี่ยนการยืมและการดัดแปลงทางศิลปวัฒนธรรมมาอย่างต่อเนื่องการดำเนินคดีหรือกล่าวหาว่าอีกฝ่ายละเมิดลิขสิทธิ์ทางวัฒนธรรมจึงเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติสำหรับข้อเสนอในการแก้ไขความกังวลที่เกิดขึ้นหากประเทศไทยต้องการปกป้องหรือแสดงความเป็นเจ้าของต่อวัฒนธรรมของตนสิ่งที่ควรดำเนินการอาจไม่ใช่เพียงการวิพากษ์วิจารณ์เพียงอย่างเดียวแต่ควรเป็นการเตรียมข้อมูลเพื่อเสนอขึ้นทะเบียนในนามของตนเองพร้อมทำความเข้าใจว่าวัฒนธรรมในภูมิภาคนี้ไม่ใช่ของใครคนเดียวแต่มีรากฐานร่วมที่ควรได้รับการดูแลอย่างสมดุลร่วมกัน”ผศ.ดร.ธนภัทรกล่าว

ผศ.ดร.ธนภัทรกล่าวต่อไปว่าหากพิจารณาในเชิงข้อกฎหมายอนุสัญญายูเนสโก 2003 ยังมีช่องโหว่ที่หลายประการที่จำแนกออกมาได้ 5 ประเด็นได้แก่ 1. ข้อความในอนุสัญญาฯมีความคลุมเครือทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าการขึ้นทะเบียนคือการถือสิทธิแต่เพียงผู้เดียวเหมือนการจดลิขสิทธิ์ซึ่งในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น2. ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการประเมินว่ารัฐที่อ้างว่าเป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรมมีความเข้าใจหรือมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์วัฒนธรรมดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมภายหลังจากการขึ้นทะเบียน

3. ไม่มีเกณฑ์ในการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศที่ชัดเจนหากเกิดข้อพิพาทในกรณีวัฒนธรรมทับซ้อนกันเช่นหากประเทศหนึ่งแอบอ้างวัฒนธรรมของอีกประเทศหนึ่งไปขึ้นทะเบียนขณะนี้ อนุสัญญาฯ ยังไม่มีมาตรการทางกฎหมายที่ให้ประเทศต้นทางสามารถฟ้องร้องหรือเรียกร้องได้อย่างเป็นทางการโดยประเทศต้นทางสามารถทำได้เพียงยื่นข้อคิดเห็นหรือขอรับรองความเป็นเจ้าของร่วมเท่านั้น

4.ความคลุมเครือในเรื่องสถานะความเป็นเจ้าของหรือผู้ถือครองวัฒนธรรมเพราะแม้แต่กรณีโขนที่ไทยและกัมพูชาเคยเสนอขึ้นทะเบียนในฐานะศิลปะการแสดงของตนก็ไม่ได้เกิดข้อขัดแย้งเนื่องจากต่างฝ่ายต่างมีรายละเอียดทางวัฒนธรรมที่ปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของตนเองสะท้อนถึงการยอมรับโดยปริยายว่าบางวัฒนธรรมมีต้นกำเนิดร่วมกันและสามารถดำรงอยู่ได้ในหลายพื้นที่

5.อนุสัญญาดังกล่าวยังขาดความเชื่อมโยงกับระบบกฎหมายลิขสิทธิ์ในระดับสากลโดยตรงกล่าวคือการขึ้นทะเบียนในรายการของยูเนสโกเป็นเพียงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในเชิงสัญลักษณ์แต่ไม่มีผลทางกฎหมายในการปกป้องหรือบังคับใช้สิทธิในระดับระหว่างประเทศและไม่มีบทลงโทษที่ชัดเจนกรณีมีการอ้างอิงวัฒนธรรมโดยไม่ระบุแหล่งที่มาอย่างเหมาะสม

ทั้งนี้ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าข้อพิพาทที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ที่การขึ้นทะเบียนของกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวแต่อยู่ที่การตีความเจตนารมณ์ของอนุสัญญาฯและความเข้าใจของสาธารณชนต่อระบบการรับรองมรดกวัฒนธรรมและการสื่อสารในสาธารณะเกี่ยวกับบทบาทของการขึ้นทะเบียนวัฒนธรรมในระดับนานาชาติ