Health & Beauty
เค.เอ็น.เอ.อินเตอร์ฟาร์มาร่วมไดมอนด์ฯ ยกอุตฯความงามไทยสู่ศูนย์กลางโลก

กรุงเทพฯ-บริษัท เค.เอ็น.เอ. อินเตอร์ฟาร์มา จำกัด ผนึกทีมแพทย์ผู้บริหารคลินิกความงามชั้นนำ ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ กับ บริษัท ไดมอนด์ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด (Diamond Biotechnology Co.,Ltd) ผู้เชี่ยวชาญด้านชีวการแพทย์ และเวชศาสตร์ความงามระดับโลกจากไต้หวัน ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อเปิดโรงงานผลิตเครื่องมือแพทย์ด้านเวชศาสตร์ความงามเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ณ จังหวัดปทุมธานี ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 3,000 ล้านบาท ร่วมผลักดันไทยสู่การเป็น Medical Hub แบบครบวงจร และยกระดับอุตสาหกรรมความงามไทยสู่ระดับสากล
นายนาดิ้รชา ปาทาน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เค.เอ็น.เอ. อินเตอร์ฟาร์มา จำกัด เปิดเผยว่า “ความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมความงามแบบครบวงจร และตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมความงามไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดย เค.เอ็น.เอ. มองเห็นศักยภาพของไดมอนด์ ไบโอเทคโนโลยี ในฐานะผู้บุกเบิกเทคโนโลยีชีวการแพทย์ที่ทันสมัย และเล็งเห็นถึงโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการนำเทคโนโลยี และความเชี่ยวชาญด้านการผลิตเครื่องมือแพทย์ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานในระดับสากลมาสู่ประเทศไทย ความร่วมมือนี้ไม่ได้เป็นเพียงการลงทุนร่วมกัน แต่เป็นการผนึกกำลังเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม พัฒนายกระดับมาตรฐานวงการเครื่องมือแพทย์ด้านความงามในประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาต้องพึ่งพาการนำเข้า รวมทั้งส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในเวทีโลกในฐานะผู้ผลิต”
นายแพทย์อารอน เชีย-เซียน เซีย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไดมอนด์ ไบโอเทคโนโลยี จำกัดกล่าวถึงการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยว่า “บริษัทฯ ได้ศึกษาตลาดในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยที่มีความโดดเด่นในฐานะ Medical Hub ของภูมิภาค ทั้งในด้านบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความสามารถ การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดความงาม รวมถึงสิทธิประโยชน์ด้านภาษี และการส่งเสริมลงทุนที่เอื้ออำนวย และที่สำคัญที่สุด คือความร่วมมือ และความสัมพันธ์อันยาวนาน รวมถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของ เค.เอ็น.เอ. ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจกว่า 3 ปี ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เราได้ร่วมมือกันมา บริษัทฯ เห็นถึงความเชี่ยวชาญด้านการจัดการ การตลาด และเครือข่ายพันธมิตรแพทย์ด้านความงามที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการขยายตลาดในประเทศไทย และการผลักดันให้โรงงานในประเทศไทยสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงออกสู่ภูมิภาคเอเชีย และตะวันออกกลาง โดยการเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพียงแห่งเดียวในภูมิภาคเอเชียในครั้งนี้ จะทำให้เราสามารถครอบคลุมการให้บริการผลิตภัณฑ์ได้ทั่วโลก โดยโรงงานในประเทศไทยจะดูแลตลาดในเอเชียทั้งหมด รวมถึงตะวันออกกลาง ส่วนศูนย์การผลิตในไต้หวันจะดูแลการผลิตและจำหน่ายในไต้หวัน พร้อมส่งออกในโซนยุโรปและอเมริกา ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นการแบ่งมาร์เก็ตแชร์ที่เหมาะสม และเราคาดหวังว่าประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องมือแพทย์ด้านความงามในเอเชีย สร้างรายได้และเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศได้อย่างมหาศาล”
“ทั้งนี้ โรงงานผลิตเครื่องมือแพทย์แห่งใหม่จะตั้งขึ้นในจังหวัดปทุมธานีภายใต้การจดทะเบียนร่วมลงทุนระหว่าง 2 บริษัท ด้วยเงินทุน 500 ล้านบาท และได้จัดเตรียมงบประมาณสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน เครื่องจักร การวิจัยและพัฒนา และสิทธิบัตรการผลิต 4 รายการซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ในกลุ่มความงาม (Aesthetic) รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ที่จะนำมาใช้ในโรงงานแห่งนี้ โดยกำหนดเริ่มก่อสร้างในวันที่ 1 มกราคม 2569 และคาดว่าจะสามารถเริ่มขบวนการผลิตได้ในปี 2570 โดยภายหลังจากที่สามารถดำเนินการผลิตผลิตภัณฑ์ 4 ตัวแรกเสร็จสิ้น บริษัทฯ มีแผนในการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ เริ่มจากประเทศจีนเป็นหลัก รวมถึงการทำตลาดในประเทศไทย นอกจากนี้มีแผนการขยายตลาดไปสู่กลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม ติมอร์-เลสเต บรูไน และประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง”
ด้าน นายแพทย์รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์ แพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง และผู้ก่อตั้ง Rassapoom Clinic และเป็นอีกหนึ่งหัวเรือใหญ่ในส่วนพันธมิตรผู้ร่วมลงทุนไทยกล่าวเสริมถึงแนวโน้มตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยว่า “ตลาดความงามของประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีศักยภาพสูง ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า ธุรกิจความงามในประเทศไทยเติบโตต่อเนื่อง 5 ปี และเป็นหนึ่งใน 10 ธุรกิจดาวเด่นประจำปี 2568 ซึ่งความร่วมมือกับไดมอนด์ ไบโอเทคโนโลยี ครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือครั้งสำคัญระดับประเทศ ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีที่จะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลกมาสู่ประเทศไทย ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับมาตรฐานการรักษาในคลินิกความงามเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในไทยภายใต้เทคโนโลยีระดับโลกจะได้รับการยอมรับมากขึ้น นอกจากนี้ การย้ายฐานการผลิตมาประเทศไทย ก็จะทำให้ผู้บริโภคได้รับบริการด้วยต้นทุนที่ถูกลง ไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้าจึงเป็นการสร้างรายได้ให้กับประเทศ และสร้างงานให้กับตลาดแรงงานไทยด้วย ทั้งนี้ นอกจากตนเองที่จะมาร่วมให้คำปรึกษาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เวชศาสตร์ความงามแล้ว ยังมีพันธมิตรทางการแพทย์ที่ได้มาร่วมผนึกความร่วมมือเพื่อพัฒนาโครงการพัฒนาฐานการผลิตเครื่องมือแพทย์และยกระดับอุตสาหกรรมเวชศาสตร์ความงามไทยในครั้งนี้ อาทิ นายแพทย์ปิยวัฒน์ หิรัญนาท ผู้บริหาร และผู้ก่อตั้ง Kay Hay Clinic แพทย์หญิงนาตยา รักพ่วง แพทย์เฉพาะทางด้านนรีเวชวิทยาและผู้ก่อตั้ง Dr. Aomthong Clinic และนายแพทย์กิตติธัช สินพิพัฒน์พร ผู้บริหาร และผู้ก่อตั้ง La Ferly Clinic ซึ่งคาดว่าทั้ง 3 ท่านจะมาเป็นกำลังสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับโครงการ ร่วมกันต่อยอดพัฒนาอุตสาหกรรมเวชศาสตร์ความงามไทย และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฮับที่ครบวงจร ตั้งแต่วิจัย พัฒนา ผลิตเครื่องมือแพทย์ และนำไปใช้ทำหัตถการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ”