In News
นิด้าโพลเปิดผลสำรวจ'วิกฤตพุทธศาสนา' 76%พระสงฆ์ตัดไม่ขาด58%เสื่อมศรัทธา

กรุงเทพฯ-ผลการสำรวจความเห็น "นิด้าโพล"เรื่องวิกฤตพระพุทธศาสนา" ชี้กว่า76.11%เกิดจากพระสงฆ์ตัดไม่ขาด ดื่มสุรา เสพยา ยุ่งสีกาและเล่นการพนัน 45.95%หลงในลาภ ยศ สรรเสริญและตำแหน่งใหญ่โต 45.80% หลงในวัตถุนิยม และน่าวิตก ความฉาวของพระสงฆ์ทำให้คนพุทธเสื่อม 58.40% แม้ยังมียอดคนนับถือเท่าเดิม 68.55% ก็ตามแต่ยอดใกล้เคียงกันมากขึ้น และเห็นเสนอแก้กฎหมายสงฆ์ ให้พระทำผิดวินัยติคคุก หรือหญิงชายที่ไปทำให้เกิดเหตุก็ควรลงโทษเช่นกัน
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “วิกฤตพระพุทธศาสนา !” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 14-16 กรกฎาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และนับถือศาสนาพุทธ กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 76.11 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ตัดไม่ขาดจากทางโลกทำให้มีข่าวฉาวเป็นประจำ เช่น เสพยาบ้า ดื่มสุรา เล่นการพนัน ยุ่งสีกา รองลงมา ร้อยละ 45.95 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง หลงในลาภ ยศ สรรเสริญและตำแหน่งทางสงฆ์ ร้อยละ 45.80 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง หลงในวัตถุนิยมหรือบริโภคนิยม ร้อยละ 40.00 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ออกบวชเพราะมองว่าพระคืออาชีพหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ ร้อยละ 29.16 ระบุว่า วัดบางแห่ง มีความเป็นพุทธพาณิชย์ ร้อยละ 27.63 ระบุว่า วัดบางแห่ง มีการบริหารจัดการทรัพย์สิน ที่ไม่โปร่งใส ร้อยละ 25.42 ระบุว่า องค์กรที่ดูแลพระพุทธศาสนาอ่อนแอขาดประสิทธิภาพในการตรวจสอบป้องกัน ร้อยละ 23.74 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ไม่อยู่ในหลักพระธรรมวินัยมีพฤติกรรมก้าวร้าว ร้อยละ 16.72 ระบุว่า ญาติโยม/ลูกศิษย์จำนวนหนึ่ง ชอบชักนำให้พระสงฆ์ประพฤติหรือทำกิจกรรมที่ผิดหลักพระธรรมวินัย และการปกครองภายในวัดไม่มีประสิทธิภาพทำให้มีข่าวฉาวเป็นประจำ ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง หลงตัวเอง ชอบโฆษณาอภินิหารเกินความจริง (อวดอุตริมนุสธรรม) ร้อยละ 11.60 ระบุว่า วัดบางแห่ง โฆษณาชวนเชื่อให้คนทำบุญเกินตัว/เกินเหตุจำเป็น ร้อยละ 8.32 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง มีคำสอนที่บิดเบือนคำสอนทางพระพุทธศาสนา ร้อยละ 7.79 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง เน้นพิธีกรรมทางไสยศาสตร์มากกว่าคำสอนทางพุทธศาสนา ร้อยละ 1.68 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ชอบยุ่งการเมือง/เลือกข้าง และร้อยละ 0.46 ระบุว่า พระพุทธศาสนาในปัจจุบันไม่มีปัญหาใด ๆ เลย
ด้านความศรัทธาของประชาชนต่อศาสนาและพระสงฆ์ จากกรณีข่าวฉาวของพระสงฆ์ในปัจจุบัน พบว่า
- ความศรัทธาในพระสงฆ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 58.40 ระบุว่า ลดลง และร้อยละ 41.60 ระบุว่า เท่าเดิม
- ความศรัทธาในศาสนาพุทธ ตัวอย่าง ร้อยละ 68.55 ระบุว่า เท่าเดิม และร้อยละ 31.45 ระบุว่า ลดลง
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์ และคุ้มครองพระพุทธศาสนาที่กำหนดโทษจำคุก ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ พระสงฆ์และ/หรือฆราวาส ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม พบว่า
- พระสงฆ์ที่ต้องอาบัติปาราชิก หรือประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ตัวอย่าง ร้อยละ 80.76 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 13.59 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 3.82 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 1.83 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย
- 2. หญิงหรือชายสมัครใจเสพเมถุนกับพระภิกษุหรือสามเณร ตัวอย่าง ร้อยละ 17 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 15.03 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 3.97 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย และร้อยละ 0.23 ระบุว่า ไม่ตอบ
- 3. พระสงฆ์อวดอุตริมนุสธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 63 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 17.56 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 4.89 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย และร้อยละ 0.37 ระบุว่า ไม่ตอบ
- 4. ผู้ทำการล้อเลียน ดูหมิ่น ทำให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญของพระพุทธศาสนา ตัวอย่าง ร้อยละ 35 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 19.92 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 10.84 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 4.81 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย และร้อยละ 0.08 ระบุว่า ไม่ตอบ
- 5. ผู้กล่าวหาพระสงฆ์ให้มีมลทินโดยไม่มีหลักฐาน ตัวอย่าง ร้อยละ 44 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 20.84 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 11.76 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 4.96 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.70 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.28 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก โดยตัวอย่าง ร้อยละ 47.94 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.06 เป็นเพศหญิง
ตัวอย่าง ร้อยละ 12.13 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.79 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.34 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 25.80 อายุ 60 ปีขึ้นไป โดยตัวอย่างทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ
ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 สถานภาพโสด ร้อยละ 61.99 สมรส และร้อยละ 2.06 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ โดยตัวอย่าง ร้อยละ 0.15 ไม่ได้รับการศึกษา ร้อยละ 16.11 จบการศึกษาประถมศึกษา ร้อยละ 34.73 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 10.31 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 32.29 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 6.41 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
ตัวอย่าง ร้อยละ 9.92 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 18.01 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 20.46 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 10.08 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 16.72 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 19.77 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.04 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
ตัวอย่าง ร้อยละ 18.17 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 2.67 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 16.49 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 31.37 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 11.98 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 6.11 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 3.89 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001-50,000 บาท ร้อยละ 1.22 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 50,001-60,000 บาท ร้อยละ 0.46 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 60,001-70,000 บาท ร้อยละ 0.08 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 70,001-80,000 บาท ร้อยละ 1.00 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 80,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 6.56 ไม่ระบุรายได้