Biz news

ปลัดคลัง-เลขาฯคปภ.เปิดอบรมหลักสูตร วปส.รุ่นที่13ผู้บริหารระดับสูงแห่เข้าร่วม



กรุงเทพฯ-ปลัดกระทรวงการคลัง - เลขาธิการ คปภ. ร่วมเปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) รุ่นที่ 13 ผู้บริหารระดับสูงจากทั่วทุกวงการแห่เข้าร่วมอบรม 150 คน นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ชู 4 มิติความเสี่ยง ควรใช้ประกันภัยเป็นเครื่องมือช่วยบริหารจัดการ นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คปภ. ตั้งเป้าสร้าง “Insurance Ambassador” ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านประกันภัยอย่างถูกต้องแก่สังคม ขับเคลื่อนระบบประกันภัยไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้รับเกียรติจาก นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดการศึกษาอบรมหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูง (วปส.) รุ่นที่ 13 ประจำปี 2568 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร

หลักสูตร วปส. ได้รับการออกแบบขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาผู้บริหารระดับสูงจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการเงิน ภาคธุรกิจ และภาคประกันภัย ให้มีโอกาสเรียนรู้และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านประกันภัยอย่างรอบด้าน สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการความเสี่ยงในมิติต่าง ๆ รวมทั้งเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือในระดับนโยบาย เพื่อผลักดันบทบาทของระบบประกันภัยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และเสริมสร้างความมั่นคงและยั่งยืน

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย กล่าวในพิธีเปิดพร้อมปาฐกถาพิเศษว่า “ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติทุกครั้งที่ได้รับเชิญมาเป็นประธานในพิธีเปิดการศึกษาอบรมหลักสูตร วปส. ของสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง สำนักงาน คปภ. และขอชื่นชมสำนักงาน คปภ. ที่สามารถพัฒนาหลักสูตรสำหรับผู้บริหารระดับสูงให้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ซึ่งสะท้อนผ่านจำนวนผู้เข้าร่วมอบรมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี”

สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมประกันภัยในประเทศไทย ปัจจุบันเป็นอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 3-4% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของ GDP อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาอัตราการถือครองกรมธรรม์ประกันภัยของประชากรไทย (Penetration Rate) ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 3-4% ยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศยุโรป ที่มีอัตราการถือครองมากกว่า 10% จึงยังมีโอกาสในการขยายตัวอีกมาก“ในปัจจุบัน โลกเต็มไปด้วยความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบ ทั้งที่สามารถคาดการณ์ได้ ไม่สามารถคาดการณ์ได้ และแม้แต่ความเสี่ยงที่ไม่เคยคาดคิด เช่น เหตุการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นตัวอย่างของความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ใกล้ตัวขึ้นมาก รวมถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นผมจึงอยากให้ทุกภาคส่วนหันมาให้ความสำคัญกับการใช้เครื่องมือประกันภัยเพื่อช่วยลดทอนและบริหารจัดการความเสี่ยงเหล่านี้อย่างเหมาะสม” ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าว

พร้อมกันนี้ เพื่อให้เห็นถึงความเสี่ยงสำคัญ 4 มิติ ที่ควรนำเครื่องมือประกันภัยเข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการ ได้แก่

1. ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์: จากสถานการณ์ความขัดแย้งในระดับโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เช่น การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน หรือความเสียหายต่อทรัพย์สิน ซึ่งสามารถจัดการได้ด้วยประกันภัย เช่น ประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption Insurance)

2.ความเสี่ยงจากภัยพิบัติและภัยธรรมชาติ: สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน เช่น ภัยแล้งและน้ำท่วมในปีเดียวกัน รวมถึงเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างแผ่นดินไหว ล้วนสะท้อนถึงความจำเป็นที่ต้องมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังมีการทำประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติในระดับที่น้อย จึงเป็นโอกาสในการส่งเสริมการใช้ประกันภัยในมิตินี้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

3.ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีและภัยไซเบอร์: เทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI กำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว ซึ่งมาพร้อมกับความเสี่ยงใหม่ เช่น การแฮกข้อมูล หรือ การโจมตีทางไซเบอร์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ โดยขณะนี้บริษัทประกันภัยในไทยได้เริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยไซเบอร์ ที่ครอบคลุมทั้งค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูระบบ ความเสียหายจากการหยุดชะงักของธุรกิจ และความรับผิดชอบต่อการรั่วไหลของข้อมูลลูกค้า

4.ความเสี่ยงด้านสังคมผู้สูงอายุ: ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปถึง 14.74% ขณะที่อัตราการเกิดลดลงเหลือเพียง 1.3 คนต่อครัวเรือน ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 6.8% ซึ่งจะนำไปสู่ความจำเป็นในการออกแบบกรมธรรม์ประกันภัยสุขภาพที่ต้องตอบสนองต่อความต้องการของผู้สูงอายุในอนาคตมากขึ้น

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินการจัดหลักสูตรวิทยาการประกันภัยระดับสูงอย่างต่อเนื่องมาแล้วถึงรุ่นที่ 13 ในปีนี้ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการพัฒนาศักยภาพผู้นำในภาคธุรกิจประกันภัยของประเทศไทย โดยหลักสูตรนี้เกิดขึ้นจากเจตนารมณ์ของสำนักงาน คปภ. ที่ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ เข้าใจกลไกการกำกับดูแลและธรรมาภิบาลของภาคประกันภัย และสามารถเชื่อมโยงองค์ความรู้ในหลากหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเงิน และการบริหารความเสี่ยง เพื่อนำไปสู่การสร้างภาวะผู้นำที่มีคุณธรรม จริยธรรม และมุมมองเชิงกลยุทธ์

นอกจากนี้ หลักสูตรยังมุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับบริบทความเสี่ยงของโลกยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยีและ AI ความมั่นคงด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม และภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งล้วนส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจประกันภัย โดยเฉพาะในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและซับซ้อนมากขึ้นสำหรับ วปส. รุ่นที่ 13 มุ่งหวังให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถทำหน้าที่เป็น “Insurance Ambassador” ที่มีความรู้ความเข้าใจในระบบประกันภัยอย่างลึกซึ้ง พร้อมถ่ายทอดความรู้ที่ถูกต้องแก่สังคมและองค์กร ตลอดจนมีบทบาทในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากลนับตั้งแต่ปี 2554 หลักสูตรนี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก องค์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงดำรงตำแหน่งองค์ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ของสถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง ซึ่งนับเป็นสิริมงคลและกำลังใจอันยิ่งใหญ่แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย

สำหรับ วปส. รุ่นที่ 13 ในปีนี้ มีผู้เข้ารับการอบรมรวมทั้งสิ้น 150 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารจากภาครัฐ 18 คน ภาคการเงิน 15 คน ภาคธุรกิจประกันภัย 22 คน และภาคเอกชน 95 คน ซึ่งล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีบทบาทสำคัญในองค์กรของตน โดยการอบรมจะจัดขึ้นระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2568ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมรับการอบรมต้องจัดทำและนำเสนอรายงานการศึกษากลุ่ม ซึ่งในแต่ละรุ่นที่ผ่านมา สำนักงาน คปภ. ได้รับรายงานการศึกษากลุ่มที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ สามารถนำมาต่อยอดและประยุกต์ใช้ในเชิงนโยบายและการดำเนินงานจริงได้อย่างเป็นรูปธรรม ตลอดระยะเวลาหลักสูตรนี้ ผู้เข้าอบรมจะได้เรียนรู้ประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมประกันภัย ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก อาทิ แนวโน้มการประกันภัยในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล การปรับตัวต่อความเสี่ยงใหม่ การกำกับดูแลที่เน้นเสถียรภาพเชิงรุก การคุ้มครองผู้บริโภค ตลอดจนบทบาทของประกันภัยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างมุมมองที่รอบด้านและความพร้อมในการเป็นผู้นำแห่งอนาคตเลขาธิการ คปภ. กล่าว