Think In Truth

ม่านเหล็กอินโดจีน:เงาCIAความร้าวลึก ชายแดนไทย-กัมพูชา โดย: ฟอนต์ สีดำ



ท่ามกลางคลื่นลมของประวัติศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์ในอินโดจีน ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาถูกหล่อหลอมด้วยสงคราม การแทรกแซงจากภายนอก และความคลางแคลงใจที่สั่งสมผ่านกาลเวลา ในฉากหลังของความร้าวลึกนี้ หน่วยข่าวกรองกลางแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ CIA ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเกมการเมืองในภูมิภาค ซึ่งแม้จะไม่ปรากฏชัดในทุกมิติ แต่ร่องรอยแห่งการดำรงอยู่ขององค์กรนี้ได้ทิ้งผลกระทบไว้อย่างมิอาจละสายตา

รากลึกแห่งอิทธิพล: CIA กับยุทธศาสตร์ต้านคอมมิวนิสต์

ในห้วงเวลาของสงครามเย็น ประเทศไทยได้รับการขนานนามว่าเป็น “ฐานที่มั่น” ของสหรัฐอเมริกาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยบทบาททางยุทธศาสตร์ในการสกัดกั้นการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์จากลุ่มแม่น้ำโขง สหรัฐฯ โดยเฉพาะ CIA ได้ใช้ประเทศไทยเป็นจุดปฏิบัติการลับ กระชับสัมพันธ์ทางการทหาร เศรษฐกิจ และข่าวกรอง เพื่อคานอำนาจลัทธิที่พุ่งแรงในอินโดจีน

ในขณะเดียวกัน กัมพูชา ภายใต้การนำของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ ซึ่งดำรงแนวทางเป็นกลาง กลับต้องเผชิญกับแรงบีบคั้นทั้งจากตะวันตกและตะวันออก การตัดสินใจอนุญาตให้เวียดนามเหนือใช้เส้นทางโฮจิมินห์ผ่านดินแดนกัมพูชา เพื่อส่งกำลังสู่ภาคใต้ ได้สร้างความไม่พอใจแก่สหรัฐฯ เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ CIA ที่เริ่มดำเนินการลับสนับสนุนการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2513 นำโดยพลเอกลอน นอล เพื่อโค่นล้มสีหนุ

แต่ทว่าผลลัพธ์กลับเลวร้ายเกินคาด การรัฐประหารดังกล่าวจุดชนวนสงครามกลางเมืองอันยืดเยื้อ และนำไปสู่การขึ้นสู่อำนาจของระบอบเขมรแดงที่สั่นสะเทือนจริยธรรมมนุษยชาติ

เงาแทรกแซงหลังเขมรแดง: สงครามตัวแทนและความเปราะบางทางรัฐ

เมื่อเวียดนามบุกเข้าโค่นเขมรแดงในปี .ศ. 2521 และตั้งรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา ภูมิภาคนี้จึงกลายเป็นหมากกระดานใหม่ของสงครามตัวแทน โดย CIA ร่วมมือกับจีนและไทย สนับสนุนกลุ่มต่อต้านเวียดนาม รวมถึงองค์ประกอบของเขมรแดงเดิมบางส่วน เพื่อขับไล่อิทธิพลฮานอยออกจากพนมเปญ

ในห้วงทศวรรษ 1980 ประเทศไทยจึงกลายเป็น “แนวหน้า” อีกครั้ง ทั้งในฐานะที่ตั้งทางยุทธศาสตร์และแหล่งพักพิงของผู้อพยพกว่าแสนรายตามแนวชายแดน สายสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่าง CIA กับหน่วยข่าวกรองไทย จึงมีบทบาทสำคัญในบริบทนี้ ทว่า การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธเขมรแดงกลับจุดชนวนเสียงวิจารณ์จากประชาคมโลกอย่างรุนแรง และซ้ำเติมรอยร้าวที่ยังไม่สมาน

มิติการเมือง: ฮุน เซน, สม รังสี และภาพสะท้อนอิทธิพลภายนอก

ในยุคหลังสงครามเย็น สมเด็จฮุน เซน ปรากฏตัวขึ้นในเวทีการเมืองกัมพูชา ในฐานะผู้นำที่เวียดนามหนุนหลัง แม้สหรัฐฯ จะไม่ได้ยอมรับรัฐบาลชุดนี้โดยตรง แต่การดำรงอยู่ของ CIA ในภูมิภาคกลับเปลี่ยนบทบาทจาก “นักปฏิบัติการ” สู่ “นักวิเคราะห์”

แม้จะไม่มีหลักฐานว่า CIA หนุนหลังฮุน เซนโดยตรง แต่แนวโน้มการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จของผู้นำผู้นี้กลับเป็นปฏิปักษ์ต่อวาทกรรมประชาธิปไตยที่วอชิงตันผลักดัน สหรัฐฯ จึงตอบโต้ด้วยการระงับความช่วยเหลือ และคว่ำบาตรในบางกรณี

ส่วนกรณีของนายสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านผู้ลี้ภัย สหรัฐฯ และหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนระดับโลก แม้จะแสดงความห่วงใยอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดชี้ว่า CIA มีส่วนผลักดันให้เกิดการลี้ภัยของเขา การดำเนินการทั้งหมดเป็นผลลัพธ์ของปัญหาการเมืองภายในกัมพูชาโดยตรง

เศรษฐกิจในเงา: บทบาททางอ้อมของ CIA ต่อระบบการเงินกัมพูชา

แม้ CIA จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบธนาคารหรือการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของกัมพูชา แต่ในยุคสงครามเย็น การสนับสนุนเงินทุนลับเพื่อใช้ในปฏิบัติการต่อต้านเวียดนามก็มีผลต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศโดยทางอ้อม

ในปัจจุบัน บทบาทของ CIA มักปรากฏในลักษณะการแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับการฟอกเงิน การค้ายาเสพติด และการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ซึ่งส่งผลให้ระบบการเงินของกัมพูชาตกอยู่ภายใต้การจับตามองของหน่วยข่าวกรองตะวันตก

ปมเขตแดน: ความขัดแย้งที่ยังคงปะทุ

กรณีพิพาทเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนตามแนวชายแดน เช่น ช่องสายตะกู, ปราสาทโดนตวล, ภูมะเขือ ฯลฯ มิได้เป็นผลโดยตรงจากการแทรกแซงของ CIA แต่เกิดจากความซับซ้อนของประวัติศาสตร์อาณานิคม การตีความแผนที่ที่ต่างกัน และชาตินิยมของทั้งสองประเทศที่ใช้ประเด็นดังกล่าวเป็นเครื่องมือทางการเมือง

แม้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) จะวินิจฉัยในปี .ศ. 2505 และมีการตีความซ้ำในปี .ศ. 2556 แต่ปัญหาการปักปันเขตแดนยังมิได้ข้อยุติ และกลายเป็นเงื่อนไขให้เกิดการปะทะได้ทุกเมื่อ

สันติภาพในเงาแห่งการเจรจา: กัวลาลัมเปอร์และความหวังที่เปราะบาง

เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย การเจรจาหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา ได้รับการริเริ่มขึ้น ท่ามกลางความตึงเครียดที่ปะทุอีกครั้ง

ข้อตกลงที่กำลังถูกร่างขึ้นอาจรวมถึงการถอนกำลัง การจัดตั้งกลไกประสานงานชายแดน การเชิญผู้สังเกตการณ์อาเซียน รวมถึงการฟื้นฟูการเจรจาปักปันเขตแดนอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างกลไกถาวรในการป้องกันความขัดแย้งซ้ำซาก

บทส่งท้าย: เงาที่เลือนรางแต่ไม่จางหาย

บทบาทของ CIA ในอินโดจีน คือหลักฐานของยุคสมัยที่มหาอำนาจเคลื่อนหมากในสนามที่ไม่เปิดเผย แต่แม้วันนี้ม่านเหล็กแห่งสงครามเย็นจะถูกรื้อไปแล้ว เสียงสะท้อนของอดีตยังคงก้องอยู่ในความเปราะบางของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

การมองย้อนกลับไปเพื่อทำความเข้าใจอิทธิพลจากภายนอก จึงมิใช่เพื่อกล่าวโทษ หากแต่เพื่อเรียนรู้บทเรียนแห่งอดีต และสร้างอนาคตที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความร่วมมือ สันติวิธี และความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อไม่ให้รอยแผลในประวัติศาสตร์กลายเป็นคำสาปของวันข้างหน้า

แหล่งอ้างอิง

  1. U.S. Department of State Archives (Cold War & Indochina)
  2. CIA Historical Review Program (Declassified Documents)
  3. International Court of Justice – Judgment on Preah Vihear Temple Case (1962, 2013)
  4. Human Rights Watch Reports on Cambodia (1990s–2020s)
  5. รายงานการเจรจาหยุดยิง ไทย-กัมพูชา (มาเลเซีย, 28 กรกฎาคม 2568)
  6. เอกสารสถาบันยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ (IISS)
  7. บทสัมภาษณ์อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง และนักวิชาการด้านภูมิรัฐศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้