Biz news
finbiz by ttbแนะเปิดประตูโอกาสธุรกิจ ด้วยพลังของ Generative AI

กรุงเทพฯ-ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ AI ที่กลายเป็นความท้าทายและโอกาสของเจ้าของธุรกิจ finbiz by ttb จึงขอแนะแนวทางการประยุกต์ใช้ AI ที่จะช่วยให้ธุรกิจใช้ขีดความสามารถของ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการใช้ AI ให้ดี ต้องมี Insight Skill
AI ไม่ได้มาแทนที่มนุษย์ แต่มนุษย์ที่ใช้ AI เป็นต่างหาก ที่จะมาแทนมนุษย์ที่ไม่ใช้ AI
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ หากทุกคนใช้ AI ได้เหมือนกันหมด แล้วคนไหนกันที่จะอยู่รอด ดังนั้น ผู้ที่ใช้ AI ได้โดดเด่นเหนือคนอื่น จะต้องมี 3 ทักษะสำคัญ ได้แก่
1) Future Soft Skill ทักษะการสื่อสาร การเจรจาต่อรอง
2) AI & Digital Skill ทักษะการเรียนรู้ ที่พัฒนาไปพร้อมกับเทคโนโลยี
3) Specialist Skill หรือ Insight Skill ทักษะความเชี่ยวชาญของตัวเราเอง เพื่อใช้ในการตรวจงานและควบคุม AI ซึ่งถือเป็นทักษะที่สำคัญมากที่สุด
จากรายงานของ McKinsey & Company พบว่าทุกวันนี้ทุกธุรกิจ ทุกแผนกในองค์กรต่างโดน AI เข้ามาแทรกทั้งหมด เนื่องจากความสามารถของ AI เข้ามาช่วยเปลี่ยนแปลงการทำงานให้ง่ายขึ้น เช่น ใช้ AI แต่งรูปสวย ๆ เพื่อทำบรรจุภัณฑ์ หรือแม้แต่การโฆษณาอาหาร สิ่งสำคัญในการสั่งงาน AI ด้วย Prompt คือการใส่ Insight ลงไปในคำสั่งให้ได้มากที่สุด ยิ่งละเอียดและลึกเท่าไรยิ่งดี แม้กระทั่งการใส่อารมณ์ความรู้สึกเข้าไป และที่สำคัญ Put the Right AI on the Right Job รู้ว่าจะใช้ AI ในจุดไหน และเลือก AI ให้ถูกงาน ก่อนผสานพลังใช้ร่วมกัน เพื่อให้งานของเราเป็นระบบ ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น
ยกระดับการประยุกต์ใช้ AI อย่างมืออาชีพ
ผู้ประกอบการ หรือองค์กรธุรกิจ ต้องมีความสามารถด้าน AI ในระดับ AI Assistance ขึ้นไป เพื่อต่อยอดในการเพิ่มประสิทธิภาพ ได้แก่
· ระดับ AI Assistance - ช่วย คิดงาน วางแผนกลยุทธ์ เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ ทั้งในงานประจำวัน การประชุม และการเสนอไอเดีย ระดับนี้ช่วยเหลืองานส่วนตัวได้ดี
· ระดับ AI Workforce - ใช้ สร้างผลงาน ผ่าน AI Tools ที่มีอยู่แล้ว และมีความเก่งในแต่ละด้านที่ต่างกัน นำมาผสมผสานและตอบโจทย์งานในแต่ละกระบวนการ ระดับนี้ใช้สร้างความสำเร็จให้กับทีม โดยใส่ Insight ในชุดคำสั่งให้ละเอียด จะช่วยสร้างความแตกต่างด้านผลลัพธ์
· ระดับ AI Driven Organization - เชื่อม ระบบเพื่อสร้าง Customize AI โดยให้ AI เป็นส่วนหนึ่งของ Process & Workflow ขององค์กร กรณีที่เป็นโรงงาน การเชื่อมระบบเข้าด้วยกันจะทำให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานที่ดี แข็งแกร่ง และรวดเร็ว ระดับนี้จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาจะช่วยให้องค์กรเติบโตได้มากขึ้น
ทั้งนี้ AI ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานรายบุคคล (Individual Productivity) โดยช่วยลดระยะเวลาการทำงานบางส่วนลง สามารถประชุมงานได้รวดเร็วขึ้น เต็มไปด้วยไอเดียสร้างสรรค์ ประยุกต์ใช้ข้อมูลได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเห็นโอกาสใหม่ ๆ และสร้างความกล้าที่จะเปิดประตูแห่งโอกาส ซึ่งปัจจุบันยังไม่มี AI ตัวไหนที่ดีที่สุด เพราะ AI มีความหลากหลาย และมีความเก่งที่แตกต่างกันไป ควรเลือกใช้ให้ถูกกับรูปแบบงานที่ต้องการ สำหรับระดับองค์กร พนักงานควรอยู่ในระดับใช้ AI “ช่วย” เป็นอย่างน้อย และพัฒนาไปสู่ระดับใช้ AI “เชื่อม” ระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า “ใช้” AI ให้ชำนาญ และขั้นตอนสุดท้าย มนุษย์มีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมให้กับองค์กร
การนำเทคโนโลยีและข้อมูลเข้ามาช่วยในธุรกิจจะเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนที่สำคัญอย่างมาก อย่าง ทีทีบี ก็มีบริการที่สามารถช่วยวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจได้ และเข้าถึงง่าย เช่น แอปพลิเคชันจัดการร้านค้า ทีทีบี สมาร์ทช็อป (ttb smart shop) ที่มี Analytic Report รายงานวิเคราะห์การขายเชิงลึก ช่วยให้เห็นภาพรวมเพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น และยังสามารถรับชำระเงินจากทุกธนาคารได้ง่าย ๆ ผ่าน QR Code จากทุกธนาคาร เงินเข้าบัญชีร้านค้าทันที พร้อมมีการแจ้งเตือนเงินเข้าแบบ Real-time อีกทั้งสามารถจัดการและกำหนดสิทธิ์การใช้งานและดูแลร้านค้าให้แก่พนักงานของร้านค้า พร้อมฟังก์ชันสร้าง QR Code หลายรูปแบบ ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน
ปัจจุบันหลายอุตสาหกรรมเริ่มมีการนำ AI ไปใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินงานในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การวางกลยุทธ์ การตลาดและการขาย การปฏิบัติงานเพื่อการส่งมอบสินค้าไปจนถึงงานบริการ ทั้งหมดนี้ AI ทำได้หมด เพียงแต่เจ้าของธุรกิจต้องรู้ความต้องการและเป้าหมายที่แท้จริง เพื่อส่งคำสั่งไปบอก AI ให้ชัดเจน ดังตัวอย่างอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจจากการใช้ AI
· อุตสาหกรรมค้าปลีก เช่น ร้านสะดวกซื้ออัจฉริยะอย่าง Amazon Go ใช้ AI ช่วยบริหารสินค้าที่มีหลาย SKU ได้ง่ายขึ้น รวมทั้งทำระบบอัตโนมัติแจ้งเตือนทาง LINE เพื่อให้เตรียมสั่งสินค้ากรณีใกล้หมดสต็อก ส่วน Walmart ใช้ AI มาช่วยแนะนำสินค้าตามความต้องการของลูกค้า และที่น่าทึ่งกว่านั้นคือใช้ AI ในการบริหารซัพพลายเชน เช่น การต่อราคากับคู่ค้า ซึ่งสามารถปิดดีล 64% จากคู่ค้าทั้งหมด 89 ราย ลดต้นทุนลงได้ 1.5% และได้เครดิตเทอมเพิ่ม 35 วัน
· อุตสาหกรรมการผลิต โดยเฉพาะการใช้ AI ให้ทำงานเหมือนกับกล้องวงจรปิด ช่วยมนุษย์ตรวจจับสิ่งผิดปกติในไลน์การผลิตสินค้า สามารถใช้ตรวจสินค้า QC แทนการใช้มนุษย์
· อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เช่น บริษัทแห่งหนึ่ง ใช้ AI คาดการณ์ความต้องการสินค้า ได้อย่างแม่นยำถึง 95% ช่วยลดสต็อกคงเหลือลง 20% และเพิ่มโอกาสขายสินค้าขึ้นอีก 10% ผลลัพธ์ที่ได้คือเพิ่มประสิทธิภาพซัพพลายเชนและลดของเสีย ส่วนแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ ใช้ AI สร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล โดยให้ AI ช่วยลูกค้าแนะนำเมนูตามความชอบส่วนตัว เสนอโปรโมชันเสริม ตลอดจนกระตุ้นการสั่งซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ยอดสั่งซื้อเฉลี่ยต่อคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ยกระดับประสบการณ์ลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งอาหาร
สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับ AI และภาคธุรกิจต้องเตรียมตัว
1) AI ไม่ใช่อนาคต AI คือ ปัจจุบัน และธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญ เปิดใจให้กับ AI
2) ผู้ประกอบธุรกิจต้องพาทีมงานไปสู่การใช้งานในระดับให้ AI “ช่วย” ให้ได้ โดยเข้าใจกระบวนการ Human + AI
3) AI เป็นตัวที่เร่งการแข่งขัน ดังนั้นต้องปรับตัวให้เร็วที่สุด เพราะ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นยุคสมัยนี้ที่ธุรกิจต้องปรับตัว
ทั้งหมดนี้พิสูจน์แล้วว่า AI สามารถช่วยมนุษย์หาข้อมูล ออกแบบ วางกลยุทธ์ ฯลฯ ได้รวดเร็วขึ้น แต่ยังอาจไม่แม่นยำ สิ่งเหล่านี้จึงต้องประกอบกับการตรวจสอบ และตัดสินใจของมนุษย์ เมื่อใช้ AI ได้อย่างเชี่ยวชาญจะช่วยให้การทำงานรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม เกิดกระบวนการที่ชัดเจนมีประสิทธิภาพต่อยอดให้ธุรกิจเติบโต อย่างยั่งยืนได้