EDU Research & Innovation

จุฬาฯจับมือกับURญี่ปุ่นประยุกต์ใช้โมเดล ความสำเร็จจากญี่ปุ่นปั้น‘เมืองยืดหยุ่น’ 



กรุงเทพฯ-คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จับมือกับ องค์การพัฒนาและฟื้นฟูเมือง (Urban Renaissance Agency: UR) ประเทศญี่ปุ่น จัดงาน “Urban Resilience Forum 2025” ขึ้นเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ณ TRUE ICON HALL ศูนย์การค้าไอคอนสยาม โดยภายในงานได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และร่วมกันออกแบบแนวทางการพัฒนาเมืองของไทยให้มีความยืดหยุ่นและยั่งยืน ความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย การแข่งขันทางเศรษฐกิจ และภัยจากสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น ขณะเดียวกัน การขยายตัวของเมืองอย่างไร้ทิศทาง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้นำมาซึ่งปัญหาซับซ้อน ทั้งรถติด ฝุ่น PM2.5 น้ำท่วม ตลอดจนความเปราะบางต่อภัยธรรมชาติที่เห็นได้จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนา

ขับเคลื่อนเมืองยืดหยุ่น—พลิกเมืองไทยให้พร้อมรับมืออนาคต

การพัฒนาเมืองสู่ความยืดหยุ่นเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อน การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับ “องค์การพัฒนาและฟื้นฟูเมือง (Urban Renaissance Agency: UR)” ซึ่งเป็นองค์กรภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและฟื้นฟูเมืองในหลายภูมิภาคของญี่ปุ่นมายาวนาน จะช่วยเปิดโอกาสให้ไทยได้นำกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จของญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้กับเมืองไทย

นายอิชิดะ มาซารุ ผู้ว่าการ UR กล่าวถึงประสบการณ์ของ UR และความร่วมมือกับจุฬาฯ ว่า “UR มีประสบการณ์การพัฒนาเมืองในประเทศญี่ปุ่นมามากกว่า 500 โครงการ พัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนมากกว่า 1.5 ล้านหน่วย รวมถึงการพัฒนา TOD (Transit Oriented Development) และการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติอย่างกว้างขวาง และนี่คือครั้งแรกที่เราร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศอย่างจุฬาฯ เรามุ่งหวังที่จะนำความรู้และบทเรียนจากญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย เพื่อช่วยสร้างเมืองที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนสำหรับอนาคต”

บทเรียนจากญี่ปุ่นสู่กรุงเทพฯ

ศ. ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวในพิธีเปิด “การพัฒนาเมืองในวันนี้ ต้องเป็นการพัฒนาทางกายภาพที่จะช่วยส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนที่อยู่ในเมือง เพื่อทำให้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนั้น ๆ มีความสุข หากเรามีการวางแผนพัฒนาเมืองอย่างเป็นระบบ สร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนก็จะช่วยสร้างเมืองที่ทำให้ประชาชนอยู่ดีมีความสุข มีคุณภาพชีวิต และแข่งขันได้ในระดับโลกได้ ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีร่วมกันระหว่างไทยและญี่ปุ่น”

ด้าน รศ. ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ให้มุมมองเกี่ยวกับการสร้างเมืองที่พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงว่า ในยุคที่โลกมีความซับซ้อนสูง เมืองต้องเผชิญกับความท้าทายหลายมิติพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติอย่างน้ำท่วมและแผ่นดินไหว วิกฤตสาธารณสุข ความผันผวนทางเศรษฐกิจ หรือการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมสูงวัย ซึ่งปัญหาเหล่านี้ทำให้เมืองเปราะบางและต้องการแนวทางการรับมือที่ "ยืดหยุ่น" ท่านได้เน้นย้ำว่า หัวใจสำคัญของการสร้างเมืองที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนคือความร่วมมือที่เข้มแข็งจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และสถาบันการศึกษา โดยเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดได้แสดงให้เห็นถึงพลังของความร่วมมือในการแก้ปัญหาร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การผนึกกำลังในครั้งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะช่วยสร้างอนาคตของกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองที่ปลอดภัยและน่าอยู่สำหรับทุกคนอย่างยั่งยืน

ด้าน โมริ ทาดาฮิโกะ รองผู้อำนวยการ UR กล่าวเสริมว่า “จุดแข็งของ UR คือ การทำให้โครงการพัฒนาเมืองเกิดขึ้นได้จริง ผ่านการวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อตอบโจทย์ทั้งนโยบายของรัฐ ความต้องการของภาคเอกชน และการสร้างประโยชน์ต่อสาธารณะ เราพัฒนาทั้งกระบวนทางกฎหมาย การออกแบบพื้นที่ โมเดลการลงทุน และการประสานความร่วมมือจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่หลากหลาย เราเชื่อว่าประสบการณ์เหล่านี้จะช่วยต่อยอดความร่วมมือกับประเทศไทยในการสร้างเมืองที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน”

การพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อคนทั้งมวล TOD และ Digital Twin: เครื่องมือยกระดับเมืองในประเทศไทย

ผศ. ดร. ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย รองผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม (Social Design Lab) และผู้ช่วยคณบดีคณะสถาปัตย์ จุฬาฯ อธิบายถึงความร่วมมือระหว่างขั้นแรกระหว่าง จุฬาฯ และ UR ว่า “เราได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ในการศึกษากลไกการพัฒนาเชิงพื้นที่เพื่อจำนวนที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาในพื้นที่ใจกลางเมืองต่างในแต่ละภูมิภาคของไทยทั้งในด้านการออกแบบ โมเดลการลงทุน และกระบวนการทางกฎหมาย เพื่อร่วมกับภาคีในการขับเคลื่อนให้เกิดการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต

ผศ. สรายุทธ ทรัพย์สุข คณบดีคณะสถาปัตย์ จุฬาฯ กล่าวย้ำว่า กรุงเทพฯ และปริมณฑลเผชิญปัญหาการขยายตัวของเมืองที่รุกพื้นที่เกษตรกรรม เสี่ยงน้ำท่วม และสร้างภาระการเดินทาง จึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาย่านรอบระบบขนส่งมวลชน ตามแนวคิด (TOD) เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัย แหล่งงาน และบริการสาธารณะได้สะดวก “ประเทศไทยอาจยังไม่มีความชำนาญในการพัฒนาเมืองให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นมีกลไกการพัฒนาเมือง ตลอดจนองค์ความรู้และองค์กรในการบริหารจัดการจนเกิดผลสำเร็จในหลายรูปแบบ ดังนั้นความร่วมมือระหว่างจุฬาฯ และ UR จึงคาดหวังว่าจะทำให้คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ สามารถนำความรู้จาก UR มาปรับใช้ให้ภาคส่วนต่าง ๆ ของไทยเกิดความรู้ความเข้าใจและมีเป้าหมายต่อการพัฒนาเมืองที่ตรงกัน เพื่อแก้ไขปัญหาของเมือง สามารถพัฒนาการใช้ที่ดินได้อย่างเต็มศักยภาพ ผู้คนในเมืองเกิดความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีความสะดวกในการเดินทางมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้”

ความร่วมมือเพื่ออนาคต

ตลอดการประชุมได้สะท้อนเสียงที่เป็นเอกฉันท์จากทั้งนักวิชาการ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมว่า การสร้าง ‘เมืองยืดหยุ่น’ ที่แท้จริงนั้นจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการทั้งในระดับข้ามพรมแดนและข้ามภาคส่วน ดังนั้น การผนึกกำลังระหว่างจุฬาฯ และ UR (ญี่ปุ่น) ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงการจัดประชุมเชิงวิชาการ แต่เป็นการวางรากฐานและสร้างฉันทามติร่วมกันเพื่อลงมือปฏิบัติจริงในการสร้างเมืองต้นแบบที่ยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อต่อยอดองค์ความรู้ไปสู่เมืองอื่น ๆ ทั่วประเทศ พร้อมผลักดันให้ ‘ความยืดหยุ่น’ กลายเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของเมืองไทย ที่ซึ่งประชาชนทุกคนจะได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย สะดวกสบาย สวยงาม และเปี่ยมด้วยโอกาสทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต