In News
'ภูมิธรรม'พูดชัดยื่นยุบสภาแล้วแต่เมื่อวาน ภาคธุรกิจซัดหนัก'การเมือง'ทุบศก.ซ้ำซาก

“ภูมิธรรม” เผยความไม่ชัดเจนทางการเมืองสร้างความสับสนและผลกระทบต่อเศรษฐกิจเห็นควรคืนอำนาจให้ประชาชน ย้ำทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย รับได้ดำเนินการทูลเกล้าฯ ยื่นยุบสภาไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว จากนี้เป็นเรื่องของพระราชอำนาจ ขณะที่ภาคธุรกิจเอกชนมีทั้งหนุนและค้าน “ยุบสภา”เพื่อเริ่มต้นใหม่ได้รัฐบาลที่มั่นคง ดีกว่าเป็นรัฐบาล4เดือนทำอะไรไม่ได้แล้วยุบสภา อาจกระทบมากกว่า แต่ก็ยังห่วงใยเรื่องรัฐบาลรักษาการ2เดือนอาจกระทบกับงานสำคัญของประเทศได้
วันนี้ (3 ก.ย. 68) เวลา 10.35 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าระบบประชาธิปไตยกำลังเผชิญกับความบิดเบี้ยว โดยการตัดสินใจจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน แต่พรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมเป็นรัฐบาลนั้น ส่งผลให้การเมืองแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ พรรคเพื่อไทยทำหน้าที่ฝ่ายค้าน พรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ส่วนพรรคประชาชนอยู่ในสถานะทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า สถานการณ์เช่นนี้ทำให้บรรยากาศทางการเมืองเกิดความไม่ชัดเจน เกิดการดึงตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สร้างความสับสนให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงมีปัญหา หากไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนสู่ประเทศได้ จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบและเผชิญกับปัญหารุมเร้าเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ จากการหารือร่วมกัน โดยเฉพาะในมุมมองของฝ่ายกฎหมาย มีความเห็นตรงกันว่าควรคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ถือเป็นพระราชอำนาจ จึงไม่มีบุคคลใดมีสิทธิ์ตัดสินใจได้เอง และต้องขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัยในสถานการณ์ต่าง ๆ
“ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาและรวบรวมความคิดเห็นต่าง ๆ อย่างรอบด้าน เห็นควรนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อถวายรายงานสถานการณ์ให้ทรงทราบ เพื่อสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม ดังนั้น จึงได้ตัดสินใจยื่นทูลเกล้าฯ ไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม จะต้องรอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
ชูศักดิ์ชี้เพื่อไทยเห็นด้วยยุบสภาชี้ ชี้เป็นพระราชอำนาจ
เมื่อเวลา09.00 น.วันที่ 3 ก.ย. 2568 ทำเนียบรัฐบาล นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวคิดยุบสภา ว่า ได้พูดคุยกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่ นายกรัฐมนตรี รวมถึงแกนนำพรรคเพื่อไทยแล้ว เห็นว่าการยกมือโหวตเลือกนายกฯ เพื่อให้ไปยุบสภา แต่ไม่สามารถบริหารประเทศได้ ก็ควรจะยุบสภา และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
ซึ่งจะเป็นทางออกที่ดีกว่า แทนที่จะเข้าไปเป็นรัฐบาลแล้วทำอะไรไม่ ได้เป็นรัฐบาลเป็ดง่อย จึงเห็นว่าควรให้มีการยุบสภา และนายภูมิธรรม สามารถตัดสินใจได้เพราะได้รับมอบหมายจากพรรคมาแล้ว และมีอำนาจเต็มในการดำเนินการเสนอพระราชกฤษฎีกายุบสภา
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า การตัดสินใจเรื่องนี้เป็นของนายภูมิธรรม ว่าจะเอาอย่างไร ส่วนที่มีข้อวิจารณ์ว่านายภูมิธรรม จะมีอำนาจเสนอพระราชกฤษฎีกายุบสภาหรือไม่ เนื่องจากเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาจะบอกว่าไม่มีอำนาจแต่อีกหลายความเห็น คิดว่ามีอำนาจ
เพราะเวลานี้นายภูมิธรรม ปฎิบัติหน้าที่แทนนายกฯ มีอำนาจเต็ม ต่างจากเมื่อครั้งที่รักษาการนายกฯ ที่มีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ทำหน้าที่ไม่ได้ ขณะที่เสียงวิจารณ์ว่าการยุบสภาเป็นพระราชอำนาจ นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่การนำเสนอพระราชกฤษฎีกาเพื่อยุบสภา ต้องมีคนเสนอและผู้รับสนอง คือคนที่เป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อถามย้ำว่าในแง่กฎหมายหากมีคนไปร้องศาลจะทำอย่างไรต่อไป นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ไม่มีปัญหาอะไร และต้องถามว่าขณะนี้ใครเป็นนายกฯ ย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การก้าวล่วง เมื่อตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อนำเสนอ ต้องระบุเหตุผลของการยุบสภา
ภาคธุรกิจเอกชนเชียร์ยุบสภาเริ่มต้นนับใหม่
ขณะที่ภาคธุรกิจเอกชนมีความกังวลกับการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ มีการช่วงชิงความได้เปรียบและเล่นการเมืองจนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเรื่องนี้ ความเห็นของแกนนำภาคธุรกิจเอกชนต่างเป็นห่วงในเรื่องนี้และมีมุมมองและความเห็นที่แตกต่างกันไปดังนี้
นายกิตติ พรศิวะกิจ นายกสมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทย กล่าวว่า กรณียุบสภาเลย อาจเป็นทางออกที่ดีที่จะได้รัฐบาลใหม่เร็วขึ้น และสามารถวางแผนระยะยะยาวได้ ทั้งนี้รัฐบาลใหม่ควรตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ที่มีคนเก่งคนดีในกระทรวงสำคัญ พร้อมวางระบบ Dashboard และทีมที่ปรึกษาหลายเจเนอเรชัน ระยะเวลาที่เหมาะสมของรัฐบาลควรจะอยูที่ 6-12 เดือนก่อนยุบสภา เพื่อให้เกิดผลในเชิงปฏิบัติ หากมีอายุ 4 เดือนอาจจะเกิดปัญหารัฐบาลและข้าราชการเกียร์ว่าง เสียเวลาประเทศ
ขณะที่ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซียไซรัส จำกัด(มหาชน) มองว่า หากจะเกิดสุญญากาศทางการเมืองแต่เศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสขยายตัวได้ 2.0% ตามที่สภาพัฒน์ประเมิน เพราะการยุบสภาแล้วมีการเลือกตั้งใหม่ จะทำให้กำลังซื้อหรือการใช้จ่ายครัวเรือนจะกลับมา การลงทุนภาครัฐส่วนใหญ่ 90% เป็นงบผูกพันอยู่แล้ว ซึ่งการเลือกตั้งใหม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ
แต่ถ้ามีรัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือนตามที่วิ่งต่อรองกันมีโอกาสยืดเยื้อได้อีก 1 เดือนหรือ 3 เดือน ทำได้ทางเทคนิค แต่เสี่ยงชนขั้นตอนการจัดทำงบประมาณและการเลือกตั้ง รัฐบาลจะต้องอยู่ในโหมด “รักษาการ” เร็วขึ้น และต้องพึ่งงบฯปีเก่าไปพลางก่อน โครงการใหม่หยุด ชะลอเบิกจ่ายลงทุนบางส่วน
เช่นเดียวกับภาคอสังหาริมทรัพย์ นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร แสดงความเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชั่วคราวและเป้าหมายสูงสุดนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ในภาพรวมคือการสร้างความเชื่อมั่นให้ทุกฝ่าย ได้รัฐบาลที่ดีมาแก้ปัญหาเรื่องใหญ่ ๆ อย่างยั่งยืน ได้แก่ 1.เรื่องคนสำคัญมาก ควรเป็น “รัฐบาลแห่งความเชื่อมั่น” คือเลือกแต่คนมีความสามารถ เป็นมืออาชีพ มีประสบการณ์ทำงานจริง มาจากภาครัฐหรือเอกชนก็ได้ แต่ต้องเป็นที่ยอมรับและเป็นกลาง ไม่ใช่การแบ่งเก้าอี้ทางการเมือง
ด้านนายกวี สระกวี นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย ให้ความเห็นว่า ประเด็นการเมืองในกรณีที่อาจมีการยุบสภานั้น ยอมรับว่าความเสถียรภาพทางการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนข้างหน้าที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกำลังเข้าสู่ฤดูกาลไฮซีซัน หากเกิดสุญญากาศทางการเมืองและต้องมีรัฐบาลรักษาการ อาจทำให้การสื่อสารกับผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวขาดความชัดเจน ส่งผลกระทบต่อแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคกลางคืนและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
ขณะที่รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน กล่าวว่า หากมีรัฐบาลเฉพาะกาลหรือรัฐบาลชั่วคราวบริหารประเทศ 4 เดือนก่อนยุบสภา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย หรือพรรคภูมิใจไทย เศรษฐกิจไทยปีนี้จะช้ำพอๆ กัน เพราะช่วงเวลาที่เหลือก่อนยุบนักการเมืองไม่มีจิตใจที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่จะมุ่งเตรียมความพร้อมเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งครั้งใหม่ เพื่อชิงความได้เปรียบเป็นหลักภายใต้ฉากทัศน์รัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือนคาดจะส่งผลกระทบทำให้จีดีพีไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ประมาณ 1.2-1.8% โดยจีดีพีในไตรมาสที่ 4 จะได้รับผลกระทบมากที่สุด จากการบริโภค การส่งออก และการลงทุน ชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม หากเดินหน้าตั้งนายกฯ และรัฐบาลใหม่ได้ทัน ควรเร่งสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคประชาชนและนักลงทุน พร้อมเร่งรัดการบริหารงบประมาณให้โปร่งใส ยึดหลักธรรมาภิบาล และใช้ทีมเศรษฐกิจที่มีประสบการณ์จริง ทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะสั้น กลาง และยาว ที่ตอบโจทย์ภาวะโลกและเป็นที่ยอมรับในเวทีสากล
ยุบสภาอาจมีผลกระทบต่อศก./การบ้านรัฐบาลใหม่
นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า หากยุบสภาในช่วงนี้และรัฐบาลรักษาการไปอีกประมาณ 2 เดือน อาจกระทบการใช้งบประมาณปี 2569 และการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเวทีสำคัญอย่าง APEC 2025 ซึ่งต้องการรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการดำเนินนโยบายและดึงการลงทุนจากต่างชาติในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเปราะบาง
เช่นเดียวกับนายกวี สระกวี นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย ให้ความเห็นว่า ประเด็นการเมืองในกรณีที่อาจมีการยุบสภานั้น ยอมรับว่า ความเสถียรภาพทางการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนข้างหน้าที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกำลังเข้าสู่ฤดูกาลไฮซีซัน หากเกิดสุญญากาศทางการเมืองและต้องมีรัฐบาลรักษาการ อาจทำให้การสื่อสารกับผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวขาดความชัดเจน ส่งผลกระทบต่อแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคกลางคืนและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ต้องเป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญ และกรอบกติกาที่มีอยู่ ทั้งนี้ประเทศไทยถืออยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหม่ ซึ่งเป็นความท้าทายมาก ท่ามกลางหลากหลายปัญหาที่รัฐบาลต้องเข้ามาบริหารจัดการ เช่น การเจรจาในรายละเอียดการเปิดตลาดสินค้ากับสหรัฐ การแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา การจัดการอุทกภัยและการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การช่วยเหลือ SMEs รวมถึงการประสานการทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย
อย่างไรก็ดีหากรัฐบาลชุดใหม่ ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน มองว่าเป็นระยะเวลาสั้นเกินไป ทำอะไรไม่ได้มาก โดยเฉพาะการฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่อาจทำได้คือมาตรการเฉพาะหน้า เช่น การอัดฉีดเงินหรือกระตุ้นการท่องเที่ยว ดังนั้นการมีรัฐบาลที่อยู่ต่อในระยะเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้สามารถดำเนินนโยบายเชิงโครงสร้างได้อย่างต่อเนื่อง
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ควบคุมต้นทุนการผลิต และบริหารประเทศอย่างโปร่งใสเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนและประชาชน ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีควรประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ มีวิสัยทัศน์ และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ไม่ใช่ของพรรคหรือกลุ่มใด โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณต้องตรงเป้าหมายและโปร่งใส
นอกจากนี้ สรท.เสนอให้รัฐบาลควบคุมต้นทุนสำคัญ เช่น ค่าแรง พลังงาน ค่าไฟ และอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบด้านการแข่งขัน พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs และที่สำคัญรัฐบาลต้องส่งสัญญาณชัดเจนถึงการไม่ยอมรับการทุจริต เพื่อหยุดต้นทุนแฝงในระบบเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ
ขณะที่ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ระบุว่า รัฐบาลใหม่ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แรงกดดันจากนโยบายสหรัฐฯ และการแข่งขันกับมหาอำนาจ ซึ่งต้องอาศัยทีมเศรษฐกิจที่มีความสามารถ ไม่ใช่มือใหม่
ทั้งนี้ภายใน 4 เดือน รัฐบาลต้องมีมาตรการชัดเจน โดยเฉพาะการอัดฉีดงบประมาณ 1 แสนล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมเสนอให้ลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อพยุงการเติบโตที่ต่ำกว่า 1% และรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้แข็งเกินไป อีกประเด็นสำคัญคือการดูแลผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าภายในประเทศ (เมดอินไทยแลนด์) อย่างน้อย 40% ของงบประมาณ รวมถึงการอัดฉีดงบเพิ่มเติม 4-8 แสนล้านบาทผ่าน ธ.ก.ส. เพื่อเป็นทุนหมุนเวียน
นอกจากนี้ยังเสนอให้เร่งใช้งบสนับสนุนกระทรวงท่องเที่ยวฯ และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและขยายตลาดส่งออก โดยตั้งเป้าให้เห็นผลใน 4 เดือน พร้อมเน้นบทบาทของ EEC ที่ไทยมีความพร้อมอยู่แล้ว เพื่อรองรับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ ควบคู่กับการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัลในภูมิภาค