Health & Beauty

เผยศูนย์รักษ์พุงรพ.จุฬาฯบริการครบวงจร รักษาโรคอ้วนแบบองค์รวม



กรุงเทพฯ-บอกลาโรคอ้วนที่ศูนย์รักษ์พุง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ One Stop Service ด้านการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอ้วนแบบองค์รวม รวมแพทย์และบุคลากรสหสาขา เชี่ยวชาญการรักษาไม่ว่าทางยา การผ่าตัด โภชนบำบัด และพฤติกรรมบำบัด พร้อมแนะป้องกันความอ้วนก่อนโรครุมเร้า

คุณมีภาวะอ้วนหรือเปล่าหาคำตอบได้จากสูตรการวัดค่าดัชนีมวลกาย

ดัชนีมวลกาย (BMI)   =  น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / ส่วนสูง (เมตร)2

●      หากคำตอบของคุณอยู่ระหว่าง 14.9 – 24.9 คุณอยู่ในเกณฑ์ปกติ

●      หากคำตอบของคุณอยู่ระหว่าง 25 – 29.9  คุณกำลังเข้าสู่เกณฑ์น้ำหนักเกินหรือท้วม

●      และหากคำตอบของคุณเกิน 30 ขึ้นไป คุณกำลังเป็นโรคอ้วน!

“สำหรับผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายเกิน 25 ได้เวลาที่จะต้องดูแลสุขภาพร่างกายกันแล้ว” ศาสตราจารย์ นายแพทย์สุเทพ อุดมแสวงทรัพย์ ศัลยแพทย์โรคอ้วน และผู้อำนวยการศูนย์รักษ์พุง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าว

โรคอ้วนเป็นปัญหาทางสุขภาพที่ไม่ควรมองข้ามเพราะเป็นเหตุให้เกิดโรครุมเร้ามากมาย ได้แก่ เบาหวาน ไขมัน โรคทางด้านระบบประสาท โรคเส้นเลือดสมอง การนอนหลับผิดปกติ ความดันสูง โรคหัวใจ โรคปอด กรดไหลย้อน ภาวะมีลูกยาก ซีสต์ ไตผิดปกติ การกลั้นปัสสาวะอุจจาระผิดปกติ เส้นเลือดขอด ไขมันเกาะตับ ตับแข็ง นิ่ว มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่

“การรักษาโรคอ้วนและการลดน้ำหนักเป็นไปได้ หากผู้ที่มีภาวะอ้วนได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์และทีมสหสาขาวิชา” ศ. นพ.สุเทพกล่าวให้ความมั่นใจ “ซึ่งที่ศูนย์รักษ์พุง เราเป็นต้นแบบเรื่องการดูแลรักษาภาวะโรคอ้วน มีทั้งองค์ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญ และวิธีรักษาโรคอ้วนแบบครบวงจร รวมทุกภาคส่วนในการดูแลโรคอ้วนและโรคเมตาบอลิกเข้ามาอยู่ด้วยกัน”

ศ. นพ.สุเทพ เผยว่า ศูนย์รักษ์พุงก่อตั้งขึ้นในปี 2550 ในแต่ละปีมีผู้ป่วยเข้ามารักษาโรคอ้วนโดยไม่ผ่าตัดแล้วราว 2,000 – 3,000 ราย และผู้ป่วยโรคอ้วนที่ได้รับการผ่าตัดประมาณ 120 – 150 ราย

“ผู้ป่วยที่รักษาด้วยการผ่าตัดเมื่อสำเร็จแล้วบางท่านกลับมาเป็นวิทยากรให้ความรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในช่วงรักษาโรค และให้กำลังใจกับผู้ป่วยที่เป็นโรคอ้วนที่ต้องได้รับการรักษาต่อไป” ศ. นพ.สุเทพ กล่าวยกตัวอย่างความสำเร็จใน “การเอาพุงออกไปจากชีวิตของผู้ป่วย”

One stop Service ดูแลโรคอ้วนแบบองค์รวม

ศูนย์รักษ์พุงเป็นแหล่งรวมของแพทย์สหสาขาวิชา เช่น ต่อมไร้ท่อ เพราะโรคอ้วนจำนวนหนึ่งเกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ หมอผู้เชี่ยวชาญด้านปอด หมอหูคอจมูก และหมอระบบประสาทเพื่อดูแลเรื่องของการนอนหลับ หมอทางโภชนาการดูแลเรื่องอาหารเพราะอาหารเป็นสิ่งสำคัญทำให้เกิดโรคอ้วน หมอเชี่ยวชาญเรื่องทางเดินอาหารดูแลเรื่องการผ่าตัด จิตแพทย์ให้คำปรึกษาเรื่องสภาพจิตใจ หมอเด็กดูแลเด็กที่มีภาวะโรคอ้วน หมอศัลยกรรมตกแต่งดูแลรักษาเพื่อปรับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้เข้าที่ สูตินารีแพทย์ดูแลผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีบุตรยาก มีซีสต์รังไข่ มะเร็งรังไข่ หมอทางด้านรังสีวิทยาดูแลเรื่องการตรวจหานิ่วในถุงน้ำดี และหมอหัวใจดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีอาการทางด้านหัวใจ

นอกจากนี้ยังมีบุคลากรอื่น ๆ เช่น นักกายภาพบำบัดดูแลฟื้นฟูผู้ป่วย คณะวิทยาศาสตร์การกีฬาดูแลเรื่องการออกกำลังกาย นักกำหนดอาหารดูแลเรื่องอาหาร รวมทั้งผู้ป่วย ครอบครัว และ Patient Support Group กลุ่มของผู้ป่วยที่มีภาวะโรคอ้วนมาสร้างกำลังใจ พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน

ศ. นพ.สุเทพ เล่าถึงการเข้ามาใช้บริการที่ศูนย์รักษ์พุงว่า “เมื่อเข้ามารักษาที่ศูนย์รักษ์พุง เราจะให้ผู้ป่วยมารวมกลุ่มกันเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาโรคอ้วนก่อน หลังจากนั้นก็จะเป็นการตรวจเฉพาะบุคคล เป็น one stop service ให้ผู้ป่วยได้รับความสะดวก ได้รับความเป็นส่วนตัว และก็มีความเป็นส่วนกลางเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ สหสาขาวิชารวมถึงครอบครัว ผู้ป่วยต้องพาครอบครัวมาด้วย เพราะเมื่อกลับไปที่บ้านต้องมีคนช่วยดูแลและให้กำลังใจ”

เราจะผ่านโรคอ้วนไปด้วยกัน

ศ. นพ.สุเทพ อธิบายแนวทางการรักษาโรคอ้วนสำหรับผู้ที่มีค่า BMI 25 ขึ้นไป ดังนี้       

ผู้ที่มีค่า BMI 25 – 29.9

ผู้ที่มีค่า BMI 25 – 29.9 จัดว่าเป็นกลุ่มน้ำหนักเกินเกณฑ์ เข้าขั้นท้วม กลุ่มนี้เริ่มมีโรครุมเร้าและต้องเริ่มดูแลตัวเองให้มากขึ้น หลักสำคัญในการดูแลตัวเองเน้นเรื่องการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ซึ่งทางศูนย์ฯ มีนักกำหนดอาหารมาช่วยดูแลและมี group treatment เข้ามาช่วยกันชักชวนกันดูแลสุขภาพ

ถ้าค่า BMI = 27.5 – 29.9 อาจเพิ่มตัวช่วย เช่น ยา ซึ่งโดยมากเป็นยาบล็อกไม่ให้ร่างกายดูดกลืนไขมัน ยาฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกอิ่มหรือเผาผลาญพลังงานมากขึ้น ยาฉีดไม่ว่าจะเป็นวันละครั้ง สัปดาห์ละครั้ง เดือนละครั้ง เพื่อช่วยปรับและเปลี่ยนสารคัดหลั่งในร่างกาย เพื่อให้ร่างกายรู้สึกอิ่มเร็ว เผาผลาญอาหารได้มากขึ้น แก้ไขความผิดปกติต่าง ๆ ทำให้น้ำหนักลดลงกว่าเดิมที่ไม่ได้รับยา ทั้งนี้ การได้รับยาต่าง ๆ นั้นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด 

ผู้ที่มีค่า BMI ระหว่าง 30 – 32.5

ผู้ที่มีค่า BMI ระหว่าง 30 – 32.5 เรียกว่าภาวะอ้วน มีความเสี่ยงจากโรคอ้วนสูงมากโดยเฉพาะโรคทางเมตาบอลิก ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาไม่ว่าจะเป็นยาหรือทำการรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น ส่องกล้องผ่าตัดปรับทางเดินอาหาร

ผู้ที่มีค่า BMI เกิน 32.5

ผู้ที่มีค่า BMI เกิน 32.5 และมีโรครุมเร้าต้องรักษาด้วยการผ่าตัดปรับและเปลี่ยนทางเดินอาหารเพื่อให้ฮอร์โมนร่างกายได้ปรับใหม่ ให้เมตาบอลิซึมของร่างกายกลับสู่ภาวะปกติ ความหิวลดน้อยลง เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาดูแลตัวเองให้ออกจากภาวะโรคอ้วน และโรครุมเร้าต่าง ๆ หายไป

ใช้ยาลดความอ้วนให้ได้ผล

ยาลดความอ้วนมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีข้อบ่งชี้และข้อควรระวังต่าง ๆ กันไป

ศ. นพ.สุเทพ ย้ำเรื่องการใช้ยาลดความอ้วนว่า “ถ้าจะใช้ยา แนะนำให้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสมอ เพื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม และต้องมีการติดตามผลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะไม่พึงประสงค์ทั้งหลาย เพราะยาบางตัวอาจมีผลต่อตับ ไต จิตใจและอารมณ์”

“นอกจากนี้ ต้องเลือกใช้ยาที่ได้การรับรองจากองค์การอาหารและยาเท่านั้น เช่น ยาที่ป้องกันการดูดซึมของไขมัน ยาที่ผลิตขึ้นมาคล้ายสารคัดหลั่งภายในร่างกายเพื่อให้เกิดความอิ่ม รู้สึกหิวน้อยลง ยากลุ่มนี้มีการศึกษาแล้วว่าปลอดภัย ส่วนยาอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มยาเหล่าดังกล่าวเรียกว่ายาต้องห้าม”

แม้ยาจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการรักษาและควบคุมภาวะอ้วน แต่หลักฐานทางการแพทย์ก็ชี้ให้เห็นว่า การใช้ยาแล้วหยุดยาเอง โอกาสที่จะกลับมามีภาวะอ้วนอีก ก็มีสูง

นวัตกรรมรับมือโรคอ้วนในอนาคต

โรคอ้วนเป็นปัญหาสุขภาพของประชากรทั่วโลก ข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าปัจจุบันประชากรทั่วโลกมีภาวะน้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า (2578) จะมีประชากรกว่า 1.9 พันล้านคน ที่มีภาวะอ้วน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 4 ของประชากรโลก สำหรับประชากรไทย มีการสำรวจพบว่าคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีภาวะอ้วนถึงร้อยละ 42.2

แนวโน้มภาวะโรคอ้วนที่เพิ่มสูงขึ้นนี้เป็นแรงผลักดันให้ศูนย์รักษ์พุงเดินหน้าศึกษานวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียงของการรักษา

“การใส่บอลลูนเข้าไปในกระเพาะอาหารเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาโรคอ้วน ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้จะลดน้ำหนักได้ 10-15% ของน้ำหนักตัว ซึ่งก็เพียงพอที่จะให้โรคต่าง ๆ หายไป แต่จะมีอาการจุกแน่นหลังจากที่ใส่บอลลูน 1 – 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยจึงต้องมีความเข้าใจและติดตามดูแลอาการต่อเนื่อง” ศ. นพ.สุเทพ ยกตัวอย่าง

“สำหรับเรื่องยา เรามีการพัฒนาความรู้เรื่องยาอยู่เรื่อย ๆ ยาในปัจจุบันที่ได้ผลดีที่สุดใกล้เคียงการผ่าตัด เมื่อมีหลายเทคโนโลยีมารวมกันทำให้เรารักษาผู้ป่วยได้ทุกบริบท เป็นส่วนเสริมซึ่งกันและกัน การผ่าตัดเป็นสิ่งสุดท้ายสำหรับผู้ที่รักษาด้วยวิธีต่าง ๆ แล้วไม่ได้ผล”

แนวทางการศึกษาโรคอ้วนในระยะยาวคือการศึกษาการลดความเสี่ยงในการผ่าตัด สำหรับผู้ที่มีเกณฑ์ผ่าตัด แต่ไม่พร้อมเพราะมีความเสี่ยงมากเกินไป การผ่าตัดด้วยการส่องกล้องเพื่อปรับและเปลี่ยนทางเดินอาหาร เป็นทางเลือกที่ลดความเสี่ยงดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันวิธีการนี้ยังอยู่ในระยะการศึกษา

ภาวะอ้วน กันไว้ดีกว่าแก้

แม้ศูนย์รักษ์พุงจะมีแนวทางการรักษาที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพ แต่ที่ดีที่สุดในการดูแลรักษาโรคอ้วน คือ การป้องกันไม่ให้เข้าสู่ภาวะอ้วน!

“ผมอยากให้ทุกคนใส่ใจดูแลสุขภาพ เช็กสุขภาพ ชั่งน้ำหนัก ถ้าดัชนีมวลกายอยู่ในเกณฑ์ 18.5 – 24.9 คือกลุ่มที่ดูแลสุขภาพได้ดี ก็ให้ปฏิบัติดูแลต่อไป คนที่น้ำหนักเกิน 25- 29.9 ต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายเต็มรูปแบบ ออกกำลังกายด้วยการเดิน ขึ้นบันได เพิ่มกิจกรรมในชีวิตประจำวันก็ได้ แต่ถ้าคนไหนพร้อมและออกกำลังกายอย่างเป็นจริงจังก็เป็นเรื่องดี”

“สำหรับกลุ่มที่ดัชนีมวลกายถึงเกณฑ์ว่าต้องได้รับการดูแลทางแพทย์คือ 30-32.5 และมากกว่า 32.5 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด มาปรึกษาที่ศูนย์รักษ์พุงได้”  

สุดท้ายแล้ว ยาและการรักษาภาวะอ้วนที่ดีที่สุดคือความเข้าใจและกำลังใจจากสมาชิกในครอบครัว คนใกล้ชิด และสังคม ที่จะช่วยให้ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนกลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง

“สังคมต้องเข้าใจผู้ที่อยู่ภาวะโรคอ้วน พวกเขาไม่ได้ปล่อยปะละเลยให้อ้วน แต่ด้วยเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม พันธุกรรม และปัจจัยต่าง ๆ ทำให้บางคนดูแลสุขภาพไม่ดี สังคมต้องเห็นใจที่จะพาผู้ป่วยกลุ่มนี้ออกจากภาวะโรคอ้วนซึ่งมาพร้อมกับโรคมากมาย รวมถึงผลกระทบอื่น ๆ ถ้าสังคมช่วยเหลือกัน ผู้ป่วยกลุ่มนี้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ต่อไป” ศ. นพ.สุเทพ กล่าวปิดท้าย