In News

'อนุทิน'นายกฯคนที่32ของประเทศไทย โหวตท่วมท้น311เสียง/เอกชนจี้ฟื้นศก.



กรุงเทพฯ-ผลโหวตการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันนี้ สส.ได้ลงมติ โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ผลปรากฏว่า นายอนุทิน 311 คะแนน  นายชัยเกษม 152 คะแนน  งดออกเสียง 27 เสียงลงคะแนนทั้งหมด 490 เสียง ขณะที่ภาคธุรกิจเอกชน เมื่อรู้ตัวนายกใหม่คนที่ 32 ได้ฝากการบ้านเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจก่อนที่จะทรุดตัวหนักกว่านี้

ผลโหวตการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ปีที่ 3 ครั้งที่ 20 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) ในวันนี้ (5 กันยายน 2568) ซึ่งวาระสำคัญนี้ถูกบรรจุเป็นเรื่องด่วนลำดับที่ 8 โดยคาดว่า ผลการโหวตชี้ชะตาผู้นำประเทศในวันนี้เมื่อช่วงเวลา 11.35 น. ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเลื่อนวาระโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจากวาระที่ 8 ขึ้นมาเป็นวาระที่ 2 เพื่อพิจารณาทันที โดยมีผู้แสดงตน 464 คน ลงมติ เห็นชอบ 313 เสียง ไม่เห็นชอบ 142 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง และไม่ลงคะแนน 5 เสียง การลงมติดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการถกเถียงยืดเยื้อระหว่างฝ่ายที่เสนอให้เลื่อนวาระขึ้นมาโหวตทันที กับฝ่ายที่ต้องการให้ดำเนินการประชุมวาระตามปกติก่อนนานกว่า 2 ชั่วโมง

และ12.05 น. เริ่มกระบวนการโหวตเลือกนายกฯคนที่ 32  โดยนายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นบุตรชายของนายเนวิน ชิดชอบ ลุกขึ้นเสนอชื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี และจากนั้นนายสรวงศ์ เทียนทอง สส.พรรคเพื่อไทย ก็ลุกขึ้นเสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อทันที

เท่ากับว่ามีเพียงชื่อของนายอนุทิน และนายชัยเกษม ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีเพียง 2 ชื่อ เพื่อให้สภาโหวตเลือกการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากกรณีคลิปสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งส่งผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย และนำไปสู่กระบวนการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามรัฐธรรมนูญ

สองแคนดิเดตชิงเก้าอี้ผู้นำ กับเดิมพันที่ต่างกันการต่อสู้เพื่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ในวันนี้ มีสองชื่อจากสองพรรคการเมืองที่จะถูกเสนอเพื่อเข้าสู่การพิจารณา

1. นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย  ได้ประกาศความพร้อมในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย โดยได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาชน ซึ่งยืนยันว่าไม่มี สส. ขอทบทวนมติหนุนนายอนุทิน พรรคประชาชนได้กำหนดข้อตกลงที่ชัดเจนภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) 5 ข้อ โดยมีเป้าหมายคือ เพื่อให้มีการยุบสภาและจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ

ทั้งนี้ พรรคประชาชนจะยังคงทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านเพื่อตรวจสอบรัฐบาล โดยจะไม่มีบุคคลใดจากพรรคเข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และไม่มีการต่อรองผลประโยชน์ใดๆ นายอนุทินเองก็แสดงความมั่นใจและไม่กังวลว่าพรรคเพื่อไทยจะส่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคู่แข่ง

2. ศ.พิเศษ ชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยได้ยืนยันการส่งชื่อ ศ.พิเศษ ชัยเกษม ชิงตำแหน่ง และมีข้อเสนอที่สำคัญคือ หากได้รับความไว้วางใจให้เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากเข้าเฝ้าถวายสัตย์และแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว จะประกาศยุบสภาทันที  อย่างไรก็ตาม ศ.พิเศษ ชัยเกษม จะไม่สามารถแสดงวิสัยทัศน์ในที่ประชุมสภาฯ ได้ เนื่องจากไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ส่วนขั้นตอนการโหวตและคะแนนตัดสินตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 จะต้องได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน สส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ซึ่งปัจจุบันคือ 247 เสียงขึ้นไป จากจำนวน สส. ทั้งหมด 492 คน ผู้ถูกเสนอชื่อแต่ละคนจะต้องได้รับการรับรองจาก สส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวน สส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ หรืออย่างน้อย 50 คน

การลงมติจะดำเนินไปอย่างเปิดเผยด้วยวิธีการขานชื่อ สส. เรียงตามลำดับตัวอักษร ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา คาดการณ์ว่ากระบวนการลงมติในวันนี้จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงแล้วเสร็จ ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อไม่จำเป็นต้องแสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุม และจะไม่มีการเปิดให้สมาชิกรัฐสภาอภิปรายคุณสมบัติหรือนโยบายของผู้ถูกเสนอชื่อก่อนการลงมติ

สรุปผลโหวตเลือกนายกฯใหม่ไทยคนที่32

ลงคะแนนโหวตแบบขานชื่อ สส.รายบุคคลได้เสร็จสิ้นลงไปแล้ว ปรากฏว่านายอนุทิน ได้เสียงส่วนใหญชนะนายชัยเกษม ทำให้นายอนุทินได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทย ด้วยคะแนนดังนี้

นายอนุทิน 311 คะแนน  นายชัยเกษม 152 คะแนน  งดออกเสียง 27 เสียงลงคะแนนทั้งหมด 490 เสียง

หลังจากนี้เมื่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบแล้ว นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา จะเป็นผู้นำรายชื่อนายอนุทินขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการต่อไป

กลุ่มธุรกิจเอกชนฝากการบ้านรัฐบาลใหม่

นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า หากยุบสภาในช่วงนี้และรัฐบาลรักษาการไปอีกประมาณ 2 เดือน อาจกระทบการใช้งบประมาณปี 2569 และการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเวทีสำคัญอย่าง APEC 2025 ซึ่งต้องการรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการดำเนินนโยบายและดึงการลงทุนจากต่างชาติในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเปราะบาง

เช่นเดียวกับนายกวี สระกวี นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย ให้ความเห็นว่า ประเด็นการเมืองในกรณีที่อาจมีการยุบสภานั้น ยอมรับว่า ความเสถียรภาพทางการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนข้างหน้าที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกำลังเข้าสู่ฤดูกาลไฮซีซัน หากเกิดสุญญากาศทางการเมืองและต้องมีรัฐบาลรักษาการ อาจทำให้การสื่อสารกับผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวขาดความชัดเจน ส่งผลกระทบต่อแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคกลางคืนและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ต้องเป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญ และกรอบกติกาที่มีอยู่ ทั้งนี้ประเทศไทยถืออยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหม่ ซึ่งเป็นความท้าทายมาก ท่ามกลางหลากหลายปัญหาที่รัฐบาลต้องเข้ามาบริหารจัดการ เช่น การเจรจาในรายละเอียดการเปิดตลาดสินค้ากับสหรัฐ การแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา การจัดการอุทกภัยและการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การช่วยเหลือ SMEs รวมถึงการประสานการทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย

อย่างไรก็ดีหากรัฐบาลชุดใหม่ ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน มองว่าเป็นระยะเวลาสั้นเกินไป ทำอะไรไม่ได้มาก โดยเฉพาะการฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่อาจทำได้คือมาตรการเฉพาะหน้า เช่น การอัดฉีดเงินหรือกระตุ้นการท่องเที่ยว ดังนั้นการมีรัฐบาลที่อยู่ต่อในระยะเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้สามารถดำเนินนโยบายเชิงโครงสร้างได้อย่างต่อเนื่อง

นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ควบคุมต้นทุนการผลิต และบริหารประเทศอย่างโปร่งใสเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนและประชาชน ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีควรประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ มีวิสัยทัศน์ และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ไม่ใช่ของพรรคหรือกลุ่มใด โดยเฉพาะการจัดสรรงบประมาณต้องตรงเป้าหมายและโปร่งใส

นอกจากนี้ สรท.เสนอให้รัฐบาลควบคุมต้นทุนสำคัญ เช่น ค่าแรง พลังงาน ค่าไฟ และอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อไม่ให้ไทยเสียเปรียบด้านการแข่งขัน พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs และที่สำคัญรัฐบาลต้องส่งสัญญาณชัดเจนถึงการไม่ยอมรับการทุจริต เพื่อหยุดต้นทุนแฝงในระบบเศรษฐกิจ และสร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ

ขณะที่ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ระบุว่า รัฐบาลใหม่ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แรงกดดันจากนโยบายสหรัฐฯ และการแข่งขันกับมหาอำนาจ ซึ่งต้องอาศัยทีมเศรษฐกิจที่มีความสามารถ ไม่ใช่มือใหม่

ทั้งนี้ภายใน 4 เดือน รัฐบาลต้องมีมาตรการชัดเจน โดยเฉพาะการอัดฉีดงบประมาณ 1 แสนล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมเสนอให้ลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อพยุงการเติบโตที่ต่ำกว่า 1% และรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้แข็งเกินไป อีกประเด็นสำคัญคือการดูแลผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าภายในประเทศ (เมดอินไทยแลนด์) อย่างน้อย 40% ของงบประมาณ รวมถึงการอัดฉีดงบเพิ่มเติม 4-8 แสนล้านบาทผ่าน ธ.ก.ส. เพื่อเป็นทุนหมุนเวียน

นอกจากนี้ยังเสนอให้เร่งใช้งบสนับสนุนกระทรวงท่องเที่ยวฯ และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและขยายตลาดส่งออก โดยตั้งเป้าให้เห็นผลใน 4 เดือน พร้อมเน้นบทบาทของ EEC ที่ไทยมีความพร้อมอยู่แล้ว เพื่อรองรับเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ ควบคู่กับการส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัลในภูมิภาค

ประวัตินายกฯไทยคนที่32 'อนุทิน ชาญวีระกุล'

เปิดประวัติ "อนุทิน ชาญวีรกูล" ว่าที่นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 จบการศึกษาต่างประเทศ เข้าสู่เส้นทางการเมืองตั้งแต่ปี 2539 ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรี วลีที่เป็นดราม่า "โควิดกระจอก" นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นบุตรชายของนายวีรวัฒน์ ชาญวีรกูล อดีต สส. และรัฐมนตรีหลายสมัย เกิดวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2509 ชื่อเล่น "หนู" สื่อมวลชนนิยมเรียกกันว่า "เสี่ยหนู" อายุในปี 2568 จะอายุครบ 59 ปี

การศึกษา นายอนุทิน สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญ ก่อนไปศึกษาต่อที่ สหรัฐฯ เมื่อปี พ.ศ. 2532 จบระดับอุดมศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮอฟสตรา (Hofstra University) ที่นิวยอร์ก และเริ่มต้นชีวิตการทำงานในธุรกิจของครอบครัว

ศึกษาหาความรู้เพิ่ม ทั้ง Mini MBA มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ปริญญาวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิศวกรรมโยธา มหาวิทยาลัยรามคำแหง, หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน รุ่นที่ 9 (วตท.9), หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง ด้านการบริหารงานพัฒนาเมือง รุ่นที่ 1 (มหานคร 1), หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง ด้านการพัฒนาเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง รุ่นที่ 3 (พ.ต.ส.3), หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง ด้านวิทยาการพลังงาน รุ่นที่ 1 (วพน.1), หลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง รุ่นที่ 17 (บ.ย.ส.17), ปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา, หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการค้าและการพาณิชย์ รุ่นที่ 9 (TEPCOT 9), โครงการฝึกอบรมการพัฒนาผู้บริหารระดับสูง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พ.ศ. 2560 หลักสูตรการปฏิรูปธุรกิจและสร้างเครือข่ายนวัตกรรม รุ่นที่ 1 (BRAIN 1), หลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลทางการแพทย์สำหรับผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 5 (ปธพ.5), หลักสูตรการบริหารการท่องเที่ยวสำหรับผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 1 (กทส.1), ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น, ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, หลักสูตรหลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย รุ่นที่ 6 (นธป.6) และหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 61 (วปอ.61)

นายอนุทิน สมรสมาแล้ว3ครั้ง ครั้งแรกกับ สนองนุช วัฒนวรางกูร เมื่อ พ.ศ. 2533 และมีบุตร 2 คน คือ นัยน์ภัค และ เศรณี ชาญวีรกูล ต่อมาใน พ.ศ. 2556 ได้หย่าร้าง และสมรสใหม่กับ ศศิธร จันทรสมบูรณ์ ต่อมาในเดือนมกราคม 2562 นายอนุทิน ได้หย่ากับ ศศิธร และปัจจุบันคบหาดูใจกับ สุภานัน นิราษิท หรือ จ๋า ภรรยาคนที่ 3 และเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่งเจ้าตัวก็เคยให้สัมภาษณ์ว่ามักจะไปเช็กอินที่ร้านกาแฟของฝ่ายหญิง

นายอนุทิน เข้าสู่วงการการเมืองเมื่อปี 2539 โดยการรับตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ประจวบ ไชยสาส์น) และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (พ.ศ. 2547 และ พ.ศ. 2548) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (พ.ศ. 2547) ต่อมาถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารของพรรคไทยรักไทย และหลังจากพ้นกำหนดการตัดสิทธิทางการเมืองในปี 2555 ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคต้นสังกัดของ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ผู้เป็นบิดา ที่ย้ายมาจากพรรคพลังประชาชนร่วมกับกลุ่มเพื่อนเนวิน และต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคต่อจากบิดา

จากนั้นในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2557 นายอนุทิน ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 1 แต่การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ต่อมาในการเลือกตั้งปี 2562 ได้รับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 1 และได้รับการเสนอชื่อให้เป็นบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอชื่อต่อรัฐสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรี (แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี)

ซึ่งหลังการเลือกตั้ง นายอนุทิน และพรรคภูมิใจไทยเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ และสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อเป็นสมัยที่ 2 และได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และยังดำรงตำแหน่งประธานสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขอีกตำแหน่งหนึ่ง

โดยระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีดราม่าเมื่อ นายอนุทิน ใช้คำว่า "โควิดกระจอก" ก่อนที่ต่อมา โควิดจะระบาดหนักในประเทศ จนมีผู้ติดเชื้อแตะหลักหมื่นคนต่อวัน และเสียชีวิตหลักร้อยคนต่อเนื่องหลายเดือน

ขณะที่การเลือกตั้งปี 2566 นายอนุทิน ได้รับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 1 และได้รับการเสนอชื่อให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และต่อมาเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลโดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ก่อนจะได้ดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

กระทั่งมีการจัดตั้งรัฐบาลครั้งใหม่ ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ซึ่งพรรคก้าวไกล ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แม้จะเป็นพรรคที่ได้เสียงอันดับ 1 ในการเลือกตั้ง โดยพรรคเพื่อไทยได้เชิญพรรคภูมิใจไทยที่มี สส. 71 เสียง ร่วมจัดตั้งรัฐบาล โดยหลังการจัดตั้งรัฐบาล และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐบาลทั้งคณะ นายอนุทิน ได้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และคุมกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรัฐมนตรีว่าการ อีก 1 ตำแหน่ง

ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา นายอนุทินและพรรคร่วมรัฐบาล ได้เผชิญกับความขัดแย้งที่รุนแรงในหลายประเด็น ทั้งเรื่องนโยบายและการบริหารงาน ส่งผลให้เกิดความไม่ลงรอยกันอย่างหนัก จนเดือน มิ.ย. 2568 นายอนุทิน ได้ทำหนังสือ ขอลาออกจากตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย

กระทั่งเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีคลิปเสียงที่สนทนากับ "ฮุน เซน" ทำให้ต้องมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่

และแม้ พรรคภูมิใจไทย จะไม่ได้เป็นพรรคที่ได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่เพราะการดีลกับ "พรรคประชาชน" สำเร็จ ทำให้พรรคประชาชนมีโหวตให้ภายใต้เงื่อนเป็นรัฐบาล 4 เดือนให้ยุบสภา โดยพรรคประชาชนกลับไปเป็นฝ่ายค้าน ปล่อยให้รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภา