In News

การบ้านและโผครม.รัฐบาทอนุทิน4เดือน  เอกชนจี้คุยภาษีมะกัน-แก้หนี้-ช่วยSME



กรุงเทพฯ-อัปเดตสถานการณ์ล่าสุด การจัดตั้งโผครม.อนุทิน 4เดือน ซึ่งกว่า 80% ได้มีการวางคนลงตำแหน่งไว้เกือบครบแล้ว ขณะที่ภารกิจนายกฯคนที่32 อนุทิน ชาญวีระกุล ถือว่าหนักในการฟื้นเศรษฐกิจ 4 เดือนสุดท้ายของปี 2568 ในเงื่อนไขรัฐบาล 4เดือน ขณะที่เอกชนต้อนรับนายกฯใหม่พร้อมเสนอปัญหาปากคอกที่ต้องเร่งแก้ด้วยให้จบใน 4เดือนตามเงื่อนไข

ใครนั่งตำแหน่งใหนในครม.ชุดนี้มีเวลา 4เดือน

ภายหลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26  ครั้งที่ 20 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วาระเรื่องด่วนเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มีเสียงโหวตสนับสนุน 311 เสียง ให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ความคืบหน้าล่าสุด โผการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) รัฐบาลของนายอนุทิน ว่าที่นายกรัฐมนตรี หรือ ครม.อนุทิน 1 โดย นายอนุทิน จะนั่งนายกรัฐมนตรี ควบกับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ทั้งนี้ ตราบใดที่นายอนุทิน ยังอยู่ไม่มีใครมาแย่งกระทรวงมหาดไทยไปได้ และในวันที่นายอนุทิน ออกจากว่าการกระทรวงมหาดไทย มีรายงานข่าวว่า ไม่ได้ไหว้ลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวง เหตุมีหลายคนเชื่อว่า จะได้กลับเข้ากระทรวงมหาดไทยอีก

ส่วนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีชื่อนายทรงศักดิ์ ทองศรี  ,น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ อยู่ในนั้นด้วยขณะที่ นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย จะได้รับโอกาสเป็นรัฐมนตรีป้ายแดง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ส่วน น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี โผครังนี้ถูกโยกไปนั่งรัฐมนตรีว่ากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

สำหรับกระทรวงคมนาคม มีชื่อนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ จะได้นั่งเป็นเจ้ากระทรวง ส่วนนายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง จะมีชื่อเป็นรัฐมนตรีป้ายแดง โดยนั่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะที่พรรคร่วมฯ อย่างพรรคกล้าธรรมได้ 7 เก้าอี้​ ( 4 ว่าการ 3 ช่วย) มีการเสนอ ร.อ.ธรรมนัส​ พรหมเผ่า​ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม​ แต่ตำแหน่งนี้ก็มีความต้องการจากพรรคพลังประชารัฐ​ด้วย​ รวมถึงนายอรรถกร ศิริลัทธยากร​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง​ศึกษา​ธิการ​ ​และนายอัครา พรหมเผ่า​ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ กลุ่มของนายสุชาติ ชมกลิ่น โดยนายสุชาติ มีโอกาสนั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีชื่อ จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ขณะที่ นายศักดา วิเชียรศิลป์ สส.พรรคเพื่อไทย ที่ขน สส.เพื่อไทย เข้าร่วมรัฐบาล 8 คน คาดว่า จะได้รัฐมนตรี 1 เก้าอี้ตามความเหมาะสม ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ได้โควตารัฐมนตรี 4 เก้าอี้ โดยนายสันติ พร้อมพัฒน์ จะได้รองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารสุข พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ จะได้นั่ง รัฐมนตรีว่าการกะทรวงกลาโหม ส่วนอีก 2 เก้าอี้ เป็นรัฐมนตรีช่วยฯ แต่ยังรอการเกลี่ยให้เหมาะสมกับพรรคร่วม

นอกจากนี้ ยังมีในสัดส่วนโควตากลาง 5 กระทรวง คือ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงพลังงาน ที่จะเป็นสัดส่วนโควตาคนนอก

การบ้านที่รัฐบาลอนุทินต้องทำให้จบใน4เดือน

หลังจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล แคนดิเดตจากพรรคภูมิใจไทย ได้รับความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ด้วยคะแนน 311 เสียงต่อ 152 เสียง แต่มีข้อตกลงร่วมระหว่าง พรรคประชาชน กับ พรรคภูมิใจไทย ที่ว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะต้องยุบสภาผู้แทนราษฏรภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา และจะต้องเร่งจัดทำ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้เสร็จสิ้นในสมัยประชุมนี้โดยเร็ว โดยพรรคประชาชนยืนยันที่จะเป็นฝ่ายค้านต่อไป จะส่งผลให้รัฐบาลนายอนุทินกลายเป็น รัฐบาลเสียงข้างน้อยเฉพาะกิจ ที่จะนำไปสู่การยุบสภาเพื่อการเลือกตั้งครั้งต่อไปในที่สุด

ในระยะเวลาที่เหลืออยู่ก่อนที่จะไปถึงการเลือกตั้งนั้น กลับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นช่วงไตรมาสสุดท้าย สำหรับภาคการส่งออก การเร่งจำนวนนักท่องเที่ยวเพื่อที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ การใช้เงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจและต้องเร่งการเบิกจ่ายเงินงบประมาณอย่าให้เกิดการล่าช้า

การเปิดการเจรจาการค้ากับสหรัฐเพื่อคงไว้ซึ่งอัตราภาษีตอบโต้ทางการค้า หรือลดอัตราภาษีตอบโต้ลง การแก้ไขปัญหาเส้นอาณาเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา เพื่อยุติสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดน และการเจรจาแก้ไขปัญหา 4 จังหวัดชายแดนใต้ ที่รัฐบาลชุดที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้ทำอะไร

จึงเป็นการบ้านที่ นายอนุทิน ชาญวีรกุล จะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศและพร้อมที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้พ้นวิกฤตทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และปัญหาความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอกประเทศ จากการเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มให้สมกับการได้รับความไว้วางใจจากสภาที่โหวตให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำรัฐบาลชุดใหม่ โดยไม่อ้าง “เงื่อนไข” 4เดือนยุบสภา

ภาคเอกชนแนะรัฐบาล“อนุทิน”เร่งงานด่วนใน4เดือน

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้แสดงความเห็นและแนะนำหลังรู้ตัวนายกฯคนที่32 ว่า นโยบายเร่งด่วนที่ต้องการเห็นภายใน 4 เดือน ส.อ.ท. เสนอว่ารัฐบาลใหม่ควรเร่งดำเนินการ ประกอบด้วย  บรรเทาค่าครองชีพและต้นทุนพลังงาน ที่ส่งผลโดยตรงต่อประชาชนและผู้ประกอบการ ช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านการเพิ่มสภาพคล่อง ลดภาษี และมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้เสีย เร่งรัดการเจรจาการค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะกับสหรัฐฯ และตลาดสำคัญ เพื่อไม่ให้การเจรจาสะดุดจากการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ปรับปรุงระบบธุรกิจและภาษี ให้ทันสมัย ลดความซ้ำซ้อน และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน

การโหวตเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลเฉพาะกิจ โดยมีวาระการทำงาน 4 เดือนนั้น ทำให้ประเทศไทยมีความชัดเจนด้านผู้นำรัฐบาล ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนและภาคธุรกิจ หลังจากที่การเมืองมีความไม่แน่นอนมาระยะหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม หวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะคัดเลือกบุคลากรที่มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถ และกล้าตัดสินใจ โดยเฉพาะในทีมเศรษฐกิจหลัก เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม เพราะสิ่งนี้จะเป็นสัญญาณสำคัญที่ช่วยฟื้นความเชื่อมั่นให้ทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ แม้จะเป็นรัฐบาลระยะสั้น ก็ควรรีบเร่งทำงานอย่างเต็มที่ทันที

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าระยะเวลา 4 เดือนนับว่าสั้นมาก สำหรับการขับเคลื่อนการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการปรับระบบภาษี การพัฒนาทักษะแรงงาน หรือการวางยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน ซึ่งต้องใช้ความต่อเนื่องหลายปีจึงเห็นผลชัดเจน ในระยะเวลาจำกัดนี้ รัฐบาลจึงควรเน้นมาตรการเฉพาะหน้าเพื่อบรรเทาปัญหาเร่งด่วนและสร้างบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ดี

นายเกรียงไกร กล่าวต่ออีกว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังเป็นประเด็นหลักที่กระทบต่อการตัดสินใจลงทุน ภาคธุรกิจและหน่วยงานราชการหลายแห่งอยู่ในภาวะที่ต้องรอดู ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ทำได้เพียงประมาณ 50% ของเป้าหมาย ซึ่งกระทบต่อการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ

“หากรัฐบาลไม่สามารถดำเนินมาตรการได้อย่างชัดเจน การเจรจาการค้าระหว่างประเทศอาจหยุดชะงัก และการลงทุนใหม่ๆ อาจล่าช้าออกไป ซึ่งจะเป็นความท้าทายสำคัญของรัฐบาลเฉพาะกิจในช่วงเวลาเพียง 4 เดือนนี้”

อย่างไรก็ดี แม้รัฐบาลจะมีเวลาจำกัด แต่ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะสร้างแรงกระตุ้นต่อเศรษฐกิจ และสร้างบรรยากาศเชิงบวกให้รัฐบาลถาวรในอนาคตมาสานต่อ ภาคเอกชนพร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับรัฐบาลอย่างเต็มที่ เพื่อให้มาตรการเหล่านี้เกิดผลจริง