In News

เปิดการบ้านด่วน!ภาคธุรกิจถึงรัฐบาลใหม่ จาก'หอการค้า-สภาอุตฯ-สมาพันธ์SME'



กรุงเทพฯ-เปิดความคาดหวังของภาคธุรกิจเอกชนต่อรัฐบาลใหม่ “อนุทิน” หอการค้าไทยฝากการบ้าน 4ด้านแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ขณะที่สภาอุตฯฝาก3เรื่องเพิ่มกำลังซื้อ เชื่อทีมเศรษฐกิจแก้ปัญหาได้ส่วนวสมาพันธ์เอสเอ็มอีฝาก4เรื่องแก้ปัญหาหนี้สำคัญสุด

การเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ภาคธุรกิจคาดหวังจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ และยังหวังว่ารัฐบาลจะเร่งดำเนินการแก้ปัญหาที่เร่งด่วนให้เบาบางลง  ภาคเอกชนจึงอยากฝากความหวังและฝากการบ้านไปถึงรัฐบาลใหม่ ในการแก้ไขปัญหาใน4เดือน

หอการค้าไทยหนุนภารกิจ4ด้านของนายกฯอนุทิน

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยกล่าวว่า ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความผันผวนและเปราะบางจากทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว การค้าและการลงทุนที่มีข้อจำกัด ตลอดจนแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนและต้นทุนภาคธุรกิจที่สูงขึ้น หอการค้าฯมีความคาดหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเร่งดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าอย่างจริงจัง และจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่ประกอบด้วยบุคลากรคุณภาพ มีความรู้ ความสามารถ เข้าใจโครงสร้างเศรษฐกิจ และยึดมั่นในประโยชน์ของประเทศและประชาชนเหนือผลประโยชน์ทางการเมือง เพื่อร่วมกันฟื้นฟูความเชื่อมั่นและสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศไทย

สำหรับทิศทางการบริหารประเทศ หอการค้าไทยเห็นด้วยและพร้อมสนับสนุนการขับเคลื่อนภารกิจเร่งด่วน 4 ด้านที่รัฐบาลได้ประกาศ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นต่อการฟื้นฟูประเทศในช่วงเวลานี้ ได้แก่

1. ด้านเศรษฐกิจ: ดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพ ทั้งค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน การเดินทาง และค่าขนส่ง แก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย ควบคู่กับการสร้างรายได้และโอกาสใหม่ให้กับประชาชน ผู้ประกอบการ และชุมชนฐานราก

2. ด้านความมั่นคงชายแดน: จัดการปัญหาพิพาทชายแดนด้วยแนวทางสันติ ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และดูแลเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็วและทั่วถึง

 3. ด้านภัยธรรมชาติ: พัฒนาระบบเตือนภัย การป้องกัน และกลไกเยียวยาฟื้นฟู เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้ได้รับการชดเชยอย่างเป็นธรรม ทันท่วงที และสามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นคง

4. ด้านภัยสังคม : เร่งรัดมาตรการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การหลอกลวงออนไลน์ รวมถึงปัญหาการพนันและการพนันออนไลน์ โดยสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและมิตรประเทศอย่างจริงจัง

“นอกจากนี้ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าฯอยากให้เร่งแก้ไขปัญหาการส่งออก การเจรจาภาษีสหรัฐอเมริกา และ FTA เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทั้งนี้ พร้อมสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลในมาตรการเชิงรุก โดยเฉพาะโครงการ ‘คนละครึ่ง’ ที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และการเร่งสร้างความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวไทยในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนในไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อสร้างรายได้หมุนเวียนกระจายสู่ชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก นอกจากนั้น การเร่งสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศไทยให้กลับมานั้นเป็นเรื่องจำเป็น” ประธานกรรมการหอการค้าไทยฝากไปถึงรัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

สภาอุตฯชง 3 เรื่องเพิ่มกำลังซื้อ/นโยบาย‘อนุทิน’เห็นผลได้

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า  นโยบายที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีประกาศออกมา 4 ด้าน ว่า สิ่งที่นายกฯอนุทินประกาศไว้ 4 ด้านหลัก ได้แก่

1.การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ พลังงาน และหนี้ ,2.การแก้ปัญหาปากท้องและสวัสดิการ ,3.การแก้ปัญหาด้านความมั่นคงและภัยพิบัติ และ4.การปรับระบบราชการ เหล่านี้ ถือว่าครอบคลุมโจทย์ใหญ่ที่ประเทศกำลังเผชิญ ทั้งเรื่องค่าครองชีพสูง หนี้ครัวเรือน ปัญหาต้นทุนพลังงาน และความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจโลก

แต่ ระยะเวลา 4 เดือนนั้นสั้นมาก ไม่เพียงพอสำหรับการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง หากรัฐบาลเลือกทำมาตรการที่เร่งด่วนและจับต้องได้ก็ยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้

อย่างไรก็ตาม หากถามว่ารัฐบาลควรเพิ่มเติมมาตรการ หรือนโยบายใดอีกเพื่อให้มีแรงส่งที่ชัดเจนใน 4 เดือนนั้น มองว่ามีอยู่ 3 เรื่องหลักที่คิดว่าจำเป็นมาก ประกอบด้วย

การตั้งทีมเศรษฐกิจที่ดี เก่ง มีความเป็นมืออาชีพ และตัดสินใจได้เร็ว เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ไม่ว่าจะเป็นราคาพลังงาน ค่าเงิน หรือความผันผวนจากต่างประเทศ

การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ที่ยังติดขัดอยู่ ถ้าเงินไม่ลงสู่ระบบ เศรษฐกิจก็จะไม่หมุน เงินงบประมาณเป็นกลไกหลักที่ทำให้เกิดการใช้จ่ายและลงทุน การเร่งเบิกจ่ายจึงเป็นสัญญาณที่สำคัญมาก

การเดินหน้าท่องเที่ยวเชิงรุก เพราะนี่คือ Quick win ที่สามารถนำรายได้เข้าสู่ประเทศได้ทันที โดยเฉพาะการดึงนักท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซัน และต้องไม่ลืมที่จะกระจายรายได้ไปยังเมืองรอง ไม่ใช่เพียงจังหวัดหลักเพียง 4–5 จังหวัด เพราะเมืองรองอีกจำนวนมาก ที่เป็นทั้งธุรกิจท้องถิ่นและ SMEs โดยเฉพาะโรงแรมขนาดเล็ก หรือกิจการที่เป็นของคนไทย 100% ไม่ค่อยได้อานิสงส์ ดังนั้น ต้องกระจายให้ทุกจังหวัดได้รับประโยชน์ และลงให้ลึกที่สุดไปถึงระดับรากหญ้า

นายเกรียงไกร กล่าวถึง โฉมหน้าของ ครม.ใหม่ว่า ที่ภาคเอกชนต้องการเห็นก็คือ ทีมเศรษฐกิจที่ทำงานเป็นทีม เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ประเทศต้องการตอนนี้ เนื่องจากประเด็นเศรษฐกิจไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลังเท่านั้น แต่เกี่ยวพันกับกระทรวงอุตสาหกรรม พาณิชย์ เกษตรฯ และการท่องเที่ยวด้วย

แม้รัฐมนตรีแต่ละคนจะมาจากต่างพรรค แต่ต้องสามารถบูรณาการการทำงานได้อย่างจริงจัง ทุกวินาทีใน 4 เดือนนี้มีค่า จึงต้องการเห็นทีมที่ทั้งรู้ลึก รู้จริง และพร้อมตัดสินใจอย่างทันท่วงที เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคเอกชนและนักลงทุน

ส่วน โครงการ “คนละครึ่ง” เป็นมาตรการที่ดีและเคยพิสูจน์แล้วว่าได้ผล อีกทั้งแอปพลิเคชันนี้ก็มีพร้อมแล้ว ระบบมีความแม่นยำ โปร่งใส ใช้งานได้สะดวก รวดเร็วและประชาชนได้รับประโยชน์ทั่วถึง น่าจะสามารถกระตุ้นกำลังซื้อและเศรษฐกิจได้เร็วในสถานการณ์เช่นนี้

อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่าทุกวินาทีใน 4 เดือนนี้มีค่า รัฐบาลต้องรีบเร่งในการแก้ปัญหาปากท้องและฟื้นความเชื่อมั่น เพราะถ้าเศรษฐกิจทรุดหนักไปกว่านี้ การประคองก็จะยากขึ้น

สมาพันธ์เอสเอ็มอีฝาก 4 เรื่องเร่งด่วน

แสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย บอกกับ SPOTLIGHT ถึงความคาดหวังของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่อยากเห็นจากรัฐบาลในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ว่า มี 4 เรื่องเร่งด่วนที่คาดหวังอยากเห็นรัฐบาล-กระทรวงการคลังดำเนินการ ดังนี้

1. ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ขยายตัวแค่ 2.8% ขณะที่เวียดนามโตเกือบ 8% มาเลเซีย 4.4% สิงคโปร์ 4.4% อินโดนีเซีย 5.1% ฟิลิปปินส์ 5.5% เป็นสิ่งที่กังวลว่าสถานการณ์เศรษฐกิจเติบโตต่ำแบบนี้จะส่งผลกระทบให้ปัจจัยที่รุมเร้าเอสเอ็มอีไทยอยู่นั้นรุนแรงขึ้น ทั้งการปรับตัวของเอสเอ็มอีที่ยังปรับตัวได้ไม่ดี และกำแพงภาษี ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ยังเกรงว่าจะเป็นคลื่นใต้น้ำที่ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถของเอสเอ็มอีไทย

ทั้งนี้ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต้องออกแบบเฉพาะ มุ่งเป้าสำหรับแต่ละเซกเมนต์ เพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาของแต่ละเซกเมนต์ และกระตุ้นเศรษฐกิจได้มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น การกระตุ้นเศรษฐกิจต้องเป็นการกระตุ้นที่สามารถตรวจสอบและติดตามผลได้เหมือนระบบบล็อกเชน  

3. อยากให้แก้หนี้ ทั้งหนี้ครัวเรือน หนี้ธุรกิจ หนี้เสีย หนี้นอกระบบ ทั้งนี้ ในส่วนหนี้ของธุรกิจเอสเอ็มอี ข้อมูลจากการสำรวจโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พบว่า หนี้ของเอสเอ็มอีเป็นหนี้ในระบบสถานบันการเงินเพียง 23% เท่านั้น อีก 45% เป็นหนี้แบบไฮบริด คือ ธุรกิจเอสเอ็มอีหนึ่งรายมีทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบ ขณะที่ 32% เป็นหนี้นอกระบบอย่างเดียว

“น่ากังวลว่า กลุ่มที่เป็นหนี้ไฮบริดทั้งในและนอกระบบ ในอนาคตจะกลายไปเป็นหนี้นอกระบบ แล้วจะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถของประเทศ การแก้ปัญหานี้ต้องมีเจ้าภาพ มีการทำเรื่องการแก้หนี้ มีผู้ช่วยไกล่เกลี่ยกับเจ้าหนี้ เพื่อช่วยให้เอสเอ็มอีกลับมามีขีดความสามารถอีกครั้ง ซึ่งคาดหวังว่าควรจะเป็นหน่วยงานของกระทรวงการคลัง และถ้าแบงก์ชาติมาร่วมด้วยก็จะเป็นนิมิตหมายที่ดี

“ที่น่าห่วง คือ อัตราการเข้าถึงสินเชื่อในระบบของเอสเอ็มอีต่ำลง ตามที่แบงก์ชาติรายงานว่า สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อน้อยลงประมาณ 5% ส่งผลให้สภาพคล่อง-เงินทุนหมุนเวียนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไม่ราบรื่นนัก ต้องอาศัยเงินกู้นอกระบบเข้ามาช่วย ซึ่งเมื่อไปอยู่นอกระบบแล้วจะยิ่งแก้ยากและซับซ้อน”

3. ต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่นเรื่องการค้าการลงทุน ลดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน ช่วยกันส่งเสริมให้เกิดการเจรจา เพื่อไม่มีให้มีปัญหาความขัดแย้งแนวชายแดน และต้องส่งเสริมการค้าชายแดนกับทุกประเทศ ไม่ใช่แค่กัมพูชา นอกจากเรื่องการค้าชายแดนแล้ว ความมั่นคงจะเป็นตัวชี้วัดที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจมาเที่ยวประเทศไทยของนักท่องเที่ยวด้วย

4. อยากให้รัฐบาลมีมาตรการยกระดับขีดความสามารถเอสเอ็มอีและแรงงานทั้งระบบ รวมถึงภาคเกษตร ทั้งในเรื่องมาตรฐาน ความสร้างสรรค์ เทคโนโลยี นวัตกรรมเพื่อสร้างความแตกต่าง ซึ่งจะช่วยให้สามารถทรานสฟอร์มไปสู่การเป็น ‘ผู้ประกอบการที่มีผลิตภาพสูง’