In News
'เอกชน'ตอบรับทีมเศรษฐกิจ'ครม.อนุทิน' ชี้สร้างความเชื่อมั่นได้/คนละครึ่งฟื้นศก.

กรุงเทพฯ-โผคณะรัฐมนตรี "อนุทิน" เริ่มนิ่ง ขณะที่ภาคธุรกิจเอกชนเทใจให้ทีมเศรษฐกิจ เชื่อมีประสบการณ์และเป็นมืออาชีพ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ด้านกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวยันพอใจทีมเศรษฐกิจพร้อมเชื่อมั่น นโยบายคนละครึ่ง เที่ยวไทยคนละครึ่งเฟส2 กระตุ้นการท่องเที่ยวได้ ด้านหอการค้าฯ มองทีมเศรษฐกิจแข็งแกร่งพร้อมสร้างความเชื่อมั่น ขณะที่สภาอุตสาหกรรม มองทีมเศรษฐกิจคนนอกมีจุดแข็งคือทำงานเป็นทีม ส่วนศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นโฉมหน้าครม.เศรษฐกิจ ปรับเพิ่มจีดีพี.จากเดิม 1.5% เป็น 1.8% อ้างสร้างความเชื่อมั่นได้
ท่องเที่ยวพอใจโฉมหน้าครม.ใหม่ ‘อนุทิน’ หนุน คนละครึ่ง เที่ยวไทยคนละครึ่งเฟส 2
นายกิตติ พรศิวะกิจ นายกสมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทย กล่าวถึงโผ ครม.ใหม่ อนุทิน ชาญวีรกูลว่า ในส่วนของคนนอกถือว่าครบเครื่อง ตอบโจทย์ภาคเอกชน ที่ได้คนเก่ง คนดี มีประสบการณ์ตรงกับกระทรวงที่รับผิดชอบทุกท่าน ทั้งด้านการคลัง การต่างประเทศ เศรษฐกิจ กฏหมาย ความมั่นคง เกรด A ทุกท่าน อย่างไรก็ตาม คนท่องเที่ยวฝากขอมาว่าหากกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาได้รัฐมนตรีที่มีประสบการณ์ตรงแบบนีบ้างน่าจะสามารถแก้วิกฤตท่องเที่ยวในช่วงนี้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับข้อเสนอเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจแบบ Quick Win 1. อิ่มคนละครึ่ง งบประมาณ 60,000 ล้านบาท สำหรับประชาชน 30 ล้านคน x 2,000 บาทต่อคน 2. เที่ยวไทยคนละครึ่งเฟส 2 งบประมาณ 3,000 ล้านบาท สิทธิละ 1,500 บาท x 2 ล้านสิทธิ เพื่อกระจายรายได้สู่เมืองรองและโรงแรมขนาดเล็ก 3. SME คนละครึ่ง 20,000 ล้านบาท สนับสนุน ผู้ประกอบการ SME ในการยกระดับมาตรฐาน พัฒนาสินค้า เทคโนโลยี องค์ความรู้ และความยั่งยืน
4. เรียนดีคนละครึ่ง งบประมาณ 5,000 ล้านบาท ส่งเสริมการเรียนรู้และทักษะแห่งอนาคต เช่น AI / Digital Marketing / Green Innovation / อาหารไทย / ภาษาต่างประเทศ ฯลฯ 5. ส่งเสริมคนไทยและต่างชาติเที่ยวไทยสู่เมืองรอง 2,000 ล้านบาท Joint Promotion ตั๋วเครื่องบิน รถเช่า รถตู้ รถบัส สู่เมืองรอง
นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า โฉมหน้าครม.เป็นความพยายามในการสร้างความสมดุลระหว่างการเมืองและความคาดหวังของประชาชนจากการเชิญคนนอกที่เป็นมืออาชีพในแต่ละด้านมาผสมผสานกับโควต้าตัวแทนพรรคการเมือง ถือว่าเป็นภาพลักษณ์ที่สร้างความเชื่อมั่นได้ในระดับหนึ่งจากการมีโควต้าคนนอกมานั่งบริหารกระทรวงเศรษฐกิจหลักที่มีความพร้อมในการทำงานได้ทันที ซึ่งการเชิญคนนอกมืออาชีพใช้ตรงกับงานก็เสมือนมีวัตถุดิบได้เชพเก่งมาปรุงแต่งย่อมทำให้คนคาดหวังรออาหารจานอร่อยจากเชพมือดีนั่นเอง
สำหรับนโยบายเร่งด่วนที่ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขในระยะสั้น ผมมองว่าเศรษฐกิจที่ต้องใช้มาตรการกระตุ้นระยะสั้นตามกระแส “คนละครึ่ง” ถือว่าช่วยประชาชนในตรงจุด ส่วนการต่างประเทศ ควรเร่งฟื้นฟูภาพลักษณ์บนเวทีต่างประเทศในการเรียกความเชื่อมั่นด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว การยกระดับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในการปราบปรามกวาดล้างอาชญากรรม ยาเสพติด และ Call center รวมถึง รถสาธารณะที่มีปัญหาด้านการฉ้อโกงนักท่องเที่ยว
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) กล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เชื่อว่าการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสในการเจรจาแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาได้สำเร็จ หลังจากที่รัฐบาลชุดก่อนยังไม่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ประเทศไทยจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านที่รัฐบาลอาจมีเวลาทำงานเพียง 4 เดือน ก็ยังสามารถเดินหน้าสร้างภาพลักษณ์ความปลอดภัยให้ประเทศได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมากมาย
สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ คือ การสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย หากสามารถทำให้เห็นได้ชัดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวไทยได้อย่างปลอดภัย โอกาสในการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจะเกิดขึ้นทันที เพราะพื้นฐานของการท่องเที่ยวไทยยังแข็งแกร่งและพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังเสนอให้รัฐบาลตั้งทีมโฆษกเฉพาะกิจด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยว ทำหน้าที่สื่อสารความคืบหน้าการจับกุมผู้กระทำผิด การปราบปรามขบวนการเอาเปรียบนักท่องเที่ยว
รวมถึงมาตรการเชิงรุกที่หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการ โดยแถลงข่าวอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงจังและความโปร่งใส การรายงานอย่างต่อเนื่องจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทย ไม่ใช่การต่อต้านข่าวลบ แต่เป็นการตอบสนองต่อข่าวสารอย่างทันท่วงที หากทำได้จริงจะเป็นผลงานที่จับต้องได้ของรัฐบาล แม้จะอยู่ในวาระเพียงไม่กี่เดือน
ขณะที่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขอให้ผู้ที่ได้รับตำแหน่งมีประสบการณ์ในแวดวงท่องเที่ยว หรืออย่างน้อยมีความสามารถในการบริหารจัดการและรับฟังข้อเสนอจากภาคเอกชนอย่างจริงจัง ภาคเอกชนมีประสบการณ์ตรงกับปัญหาและความต้องการของนักท่องเที่ยว ถ้ารัฐบาลนำข้อเสนอแนะของเราไปปรับใช้อย่างจริงจัง จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวมแน่นอน
สภาอุตสาหกรรมฯหวัง ครม.คนนอก-ในดึงจุดแข็งทำงานเป็นทีม
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดอนุทินว่า ถ้ามองเชิงโครงสร้าง ครม. ชุดนี้มีทั้ง “คนนอก” ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และ “คนใน” ที่มีประสบการณ์เชิงระบบราชการ ซึ่งหากสามารถผสานจุดแข็งเข้าด้วยกันได้ จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่การทำงาน “เป็นทีม” และ “เดินไปในทิศทางเดียวกัน”
สิ่งที่ควรคำนึง คือ คนนอกมักมีข้อได้เปรียบด้านความรู้ ความเชี่ยวชาญเชิงลึก แต่อาจต้องใช้เวลาเรียนรู้กลไกการเมืองและระบบราชการ ขณะที่คนในจะเข้าใจระบบอยู่แล้ว แต่ก็มีโจทย์ที่ต้องประสานหลายด้าน ดังนั้น บทบาทของนายกรัฐมนตรีจึงสำคัญมากในการเชื่อมและผสานทั้งสองมุมมองเข้าด้วยกัน เพื่อให้ ครม. ทำงานได้อย่างราบรื่นและต่อเนื่อง
สำหรับภาคเอกชน สิ่งที่ต้องการเห็นไม่ใช่ว่าใครเป็นคนนอกหรือคนใน แต่คือ ประสิทธิภาพในการตัดสินใจและความต่อเนื่องของนโยบาย เพราะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงเปราะบาง นักลงทุนและผู้ประกอบการจับตาเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นหลัก ถ้า ครม. สามารถส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเดินไปในทิศทางเดียวกัน มีเอกภาพ และมีผลงานที่จับต้องได้เร็ว ก็จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นได้
หอการค้าฯหนุนทีมเศรษฐกิจ ครม.ใหม่ มองสร้างความเชื่อมั่น
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย มองถึงโผคณะรัฐมนตรี(ครม.)ชุดใหม่ โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจว่า เท่าที่ติดตามรายชื่อในรอบนี้ถือว่าหน้าตาดูดีและใช้ได้ โดยดึงคนนอกเข้ามาร่วมทีม มองเป็นเชิงบวกเพราะไม่เอาการเมืองมานำในการแต่งตั้งมากเกินไปเหมือนในหลายรัฐบาลที่ผ่านมา ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และสร้างเชื่อมั่นได้ระดับหนึ่ง
สำหรับนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ผู้บริหารกลุ่มดุสิตธานีที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ผ่านมาก็ได้มาช่วยดูแลงานของหอการค้าไทยทางด้านการค้ามาโดยตลอด เป็นหนึ่งในบุคคลที่หอการค้าฯให้ความเชื่อถือ
ส่วนนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เคยเป็นอธิบดีในหลายกรมของกระทรวงการคลัง ได้เห็นภาพกว้างของเศรษฐกิจไทย และที่สำคัญยังรู้กลไกการขับเคลื่อนในเชิงการเมืองและระบบราชการ คาดหวังจะตัดสินใจในเรื่องการคลังของประเทศได้เร็วเพราะรัฐบาลมีอายุการทำงานเพียง 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย
ขณะที่นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่ากระทรวงพลังงาน มาจากสายตรงด้านพลังงานอยู่แล้ว มีความรู้และประสบการณ์ด้านพลังงานเป็นอย่างดี ที่สำคัญจะรู้วิธีว่าจะทำอย่างไรให้ต้นทุนด้านพลังงานของไทยลดลง รวมถึงรู้เรื่องของความยั่งยืนของพลังงานไทยในอนาคต ซึ่งต้องรอดูว่า รัฐมนตรีพลังงานจะมีแผนระยะกลาง และระยะยาวเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของพลังงานไทยอย่างไร
อย่างไรก็ดีสิ่งที่อยากฝากรัฐบาลชุดใหม่เร่งแก้ไขปัญหาในเวลานี้คือ การเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประชาชน การแก้ไขเงินบาทที่แข็งค่ามากในรอบ 4 ปี ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยวของไทยอย่างมากในเวลานี้ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้สินของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐในการส่งออกสินค้า และสินค้าต่างประเทศเข้ามาแย่งตลาดในประเทศ รวมถึงขอให้กำกับดูแลในการลดดอกเบี้ยนโยบาย และดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ลงอีก เพื่อให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนทางการเงินที่ถูกลง และมีสภาพคล่องมากขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองหน้าตารัฐบาล-ครม.ชุดใหม่ช่วยเรียกความเชื่อมั่น
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2568 จากเดิม 1.5% เป็น 1.8% เป็นผลมาจากภาคการส่งออกที่มีการเร่งการส่งออกที่ดีกว่าคาดการณ์ รวมถึงความเชื่อมั่นภายหลังจากมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น และคาดหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
“หน้าตา ครม.ที่ออกมาล่าสุด ยอมรับว่าช่วยสร้างความเชื่อมั่น เพราะดึงคนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยบริหาร อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องติดตาม คือ ความต่อเนื่องของการเบิกจ่ายงบประมาณ เนื่องจากรัฐบาลมีระยะเวลาเพียง 4-7 เดือน จึงต้องรอดูนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมา”
อย่างไรก็ดี มุมมองนโยบายที่ต้องการเห็นนั้น จะเห็นว่ามาตรการ Quick Win มาตรการเร่งด่วน และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เช่น มาตรการคนละครึ่ง ซึ่งยังไม่เห็นรายละเอียดของวงเงิน เบื้องต้น 2.5 หมื่นล้านบาท หรือเงื่อนไขว่าจะเป็นการใช้จ่ายคนละ 50% หรือจะให้ 20-30% แต่มาตรการดังกล่าวจะช่วยหมุนเศรษฐกิจได้ 1 รอบ รวมถึงมาตรการปรับโครงสร้างในระยะยาว ซึ่งต้องติดตามมาตรการอื่น ๆ ที่รัฐบาลจะออกมาในช่วงที่เหลือของปีนี้ด้วย
ว่าที่รมช.คลัง“วรภัค”กรีดธปท.ต้องแสดงฝีมือ จัดการบาทแข็งกระทบส่งออก-ท่องเที่ยว
นายวรภัค ธันยาวงศ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ว่าที่ รมช.คลัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2568 แสดงความเห็นเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น อย่างน่าเป็นห่วง ในขณะที่เงินด่องของเวียดนามสวนทาง คือค่าเงินอ่อนลงในรอบปีที่ผ่านมา
นายวรภัค โพสต์อีกว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องแสดงฝีมือ ไม่เช่นนั้นทั้งส่งออกและท่องเที่ยวของไทยเหนื่อย
น.ส.รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วในช่วงนี้ หลุดระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ระดับ 31.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ แข็งค่าต่อเนื่องและแข็งที่สุดในรอบ 4 ปี และยังเป็นการแข็งค่านำสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาคด้วย
ทั้งนี้ การที่เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว เป็นผลมาจากตลาดเงินโลกมีความมั่นใจมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในสัปดาห์หน้า รวมทั้งในการประชุมอีก 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ด้วย ซึ่งคาดว่าจะลดดอกเบี้ยลงครั้งละ 0.25%
นอกจากนั้น ยังเป็นผลมาจากปัจจัยของราคาทองคำโลกที่เข้ามาหนุนให้เงินบาทแข็งค่าเร็ว เพราะราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All time high) ตลอดทั้งสัปดาห์ โดยแนวโน้มระยะสั้น แนวรับอยู่ที่ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งหากเงินบาทหลุดลงไปทดสอบที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ได้ หลังจากนั้นอาจจะสลับกลับมาอ่อนค่าขึ้นบ้างได้ในช่วงสัปดาห์ต่อไป
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่า เงินบาทที่แข็งค่าส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม ทำให้การส่งออกไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ยากลำบากขึ้น เนื่องจากราคาสินค้าไทยสูงขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งส่วนภาคการท่องเที่ยว ทำให้ไทยมีต้นทุนการท่องเที่ยวสูงขึ้นในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ ลดแรงจูงใจในการเดินทางมาไทย และภาคเกษตรกรรมนั้น จะกระทบต่อเกษตรกรไทยที่พึ่งพาการส่งออก
สำหรับการแข็งค่าของเงินบาทนั้น มองว่าไม่ได้เกิดจากปัจจัยในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า เพราะตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง และยังมีปัจจัยของทองคำ เพราะไทยถือครองทองคำจำนวนมาก และราคาทองคำในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการขายทองคำออกมาเป็นเงินตราต่างประเทศและแปลงกลับเป็นเงินบาท ส่งผลให้มีความต้องการเงินบาทเพิ่มขึ้น และดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าประเทศคู่ค้าอย่างผิดปกติ รวมถึงมีเงินไหลเข้าประเทศด้วย ซึ่งอาจจะมาจากคริปโตเคอร์เรนซี
ขณะเดียวกัน มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ยังยิ่งซ้ำเติมผลกระทบจากเงินบาทแข็งให้หนักขึ้น อีกทั้งไทยยังมีข้อจำกัดด้านการแทรกแซงค่าเงิน เพราะการที่ธปท.เข้าไปดูแลค่าเงินบาทอย่างเข้มข้น อาจทำให้ไทยถูกเพ่งเล็งว่าบิดเบือนค่าเงิน ซึ่งสหรัฐฯเชื่อมโยงประเด็นนี้กับการเจรจาภาษีอยู่
ที่ผ่านมา หอการค้าไทยและคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) เคยยื่นข้อเสนอแนวทางการดูแลค่าเงินบาทต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปแล้ว คือแยกดุลทองคำออกมาให้เห็นชัดเจน เพื่อให้สามารถประเมินผลกระทบต่อค่าเงินบาทได้ตรงจุด