In News

นายกฯเรียกถกว่าที่รมต.วางนโยบายรัฐฯ เอกชนแนะแก้หนี้-บาทแข็ง-อุ้มร้านอาหาร



กรุงเทพฯ-นายกฯอนุทินเรียกถกว่าที่รัฐมนตรีคนนอก เตรียมนโยบายบริหารประเทศ ขณะที่นักวิชาการและภาคเอกชนออกเรียกร้องรัฐบาลในหลายประเด็น TDRI เตือนรัฐบาลใหม่ระวังหนี้สาธารณะสูงจะทำให้ถูกลดเครดิตเรตติ้ง ขณะที่ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ร้องรัฐบาลนายกฯ อนุทิน เร่งแก้ปัญหาธุรกิจ SMEs ที่เป็นนิติบุคคลเข้าไม่ถึงสิทธิโครงการคนละครึ่ง เสนอชุดมาตรการภาษีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำกระตุ้นท่องเที่ยว หวังกู้เศรษฐกิจภายใน 4 เดือนและหอการค้าฯเร่งรัฐบาลใหม่แก้“บาทแข็ง” ตั้งหัวหน้าทีมเจรจาสหรัฐ ลุยคนละครึ่ง กระตุ้นกำลังซื้อ

ความเคลื่อนไหวของนายกอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีวันนี้ เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพการประชุมร่วมกับว่าที่รัฐมนตรี อาทิ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายเอกนิติ  นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

พร้อมข้อความระบุว่า  “ประชุมหารือเพื่อเตรียมการจัดทำนโยบายรัฐบาลเพื่อที่จะแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภา จะได้นับวันแรกของสี่เดือนได้โดยเร็วตามสัญญา MoA #ไม่มีวันหยุด”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนโยบาย​ ที่แน่ชัดแล้ว​ คือ​ การฟื้นคืนชีพคนละครึ่ง​ แต่ปรับรูปแบบ​สำหรับผู้ที่เสียภาษี จะแบ่งเป็นรัฐจ่าย 60 ประชาชนจ่าย​ 40 นอกจากนี้ ที่มีการพูดถึง​ แต่ยังไม่ได้สรุป​ คือโครงการเราเที่ยวด้วยกัน​ และการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น​ รวมถึงแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติด้วย

‘TDRI’ เตือนรัฐบาลใหม่หนี้สาธารณะสูง

 ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ (TDRI) มีข้อเสนอถึงการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ว่า รัฐบาลควรทบทวนรายรับรายจ่ายภาครัฐให้สมดุลกัน เพราะที่ผ่านมาภาระหนี้สาธารณะของไทยอยู่ในระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายรัฐบาล

ทั้งนี้ ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ประเทศไทยอาจจะถูกลดเครดิตเรตติ้ง ซึ่งจะเกิดผลกระทบตามมาหลายอย่าง เช่น เมื่อจะออกพันธบัตร รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยที่แพงขึ้น และเป็นภาระต่อหนี้สาธารณะ เช่นเดียวกับภาคเอกชน หากจะออกตราสารหนี้ก็จะต้องเสียดอกเบี้ยที่สูงขึ้นด้วย

ดังนั้นรัฐบาลต้องทบทวนว่ารายจ่ายด้านใดที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้น้อยแต่ใช้เงินมาก และตัดลดงบประมาณในส่วนที่ไม่คุ้มค่าลง

ขณะเดียวกันจะต้องมีแผนในการหารายได้ ซึ่งคาดหวังกับ รมว.คลังคนใหม่ คือดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ที่มีประสบการณ์การหารายได้ภาครัฐมาก่อน โดยเคยเป็นทั้งอธิบดีกรมสรรพากรและกรมสรรพสามิต จึงน่าจะมีแนวทางในการหารายได้ที่ชัดเจน สามารถทำให้นักลงทุน

และ Credit Rating Agency เชื่อมั่นได้ว่าประเทศไทยจะไม่สร้างที่หนี้สาธารณะสูงเกินไปจนถูกลดเครดิตเรตติ้ง

อย่างไรก็ดี นอกจากมาตรการระยะสั้น โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว เห็นว่ารัฐบาลควรเน้นไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาวควบคู่ไปด้วย ถึงแม้ว่าไม่ได้ทำให้ประชาชนเห็นผลงานได้ทันที แต่การปรับโครงสร้างเพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศมีความสำคัญมากและรัฐบาลก็จะได้เครดิตในฐานะผู้ริเริ่ม

ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างที่สามารถทำได้ทันที และเห็นผลได้ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจคือ การแก้กฎระเบียบการอนุมัติ-อนุญาตต่าง ๆ ซึ่งทีดีอาร์ไอ เคยศึกษาวิจัยแล้วพบว่า หากทำในเรื่องที่สำคัญ เช่น การเปิดเสรีซื้อขายไฟฟ้าจะมีตัวคูณทางเศรษฐกิจมหาศาล และยังแก้ปัญหาโครงสร้างได้อีกทางหนึ่งด้วย

ปธ.ชมรมธุรกิจอาหาร จี้รัฐอุ้มร้านอาหาร

นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารและที่ปรึกษากิติมศักดิ์สมาคมโฮสเทลประเทศไทย กล่าวว่า อยากขอให้รัฐบาลนายกอนุทิน ออกมาตราการช่วยเหลือธุรกิจร้านอาหารให้ครบทั่วถึงเพราะนโยบายคนละครึ่ง ร้านอาหารที่เป็น SMEs นิติบุคคลไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้

 “ภาคธุรกิจ SMEs โดยเฉพาะร้านอาหารรายย่อยที่อยู่ในระบบเป็นนิติบุคคลและเสียภาษีมาโดยตลอด กลับไม่สามารถเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งได้ จึงอยากให้รัฐบาลเร่งพิจารณาแนวทางสนับสนุนเพิ่มเติม เช่น การใช้มาตรการภาษีซึ่งไม่ต้องใช้งบประมาณจากรัฐ”

เร่งรัฐบาลใหม่แก้“บาทแข็ง” ตั้งหัวหน้าทีมเจรจาสหรัฐ ลุยคนละครึ่ง กระตุ้นกำลังซื้อ

ขณะที่เวลานี้ไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาล “อนุทิน” ที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ามาบริหารประเทศ ท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจไทยที่ถาโถมเข้ามา ทั้งเศรษฐกิจ การส่งออก ท่องเที่ยวชะลอตัว กำลังซื้อคนในประเทศตกตํ่า ภาคเอกชนมีข้อเสนออย่างไรนั้น

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา” รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ที่ยํ้าว่ารัฐบาลใหม่ต้องเร่งแก้ในทุกประเด็นร้อนข้างต้น พร้อมเร่งตั้งหัวหน้าทีมเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกาในรายละเอียดการเปิดตลาด หลังบรรลุดีลภาษีที่ 19% รวมถึงเร่งเดินหน้ามาตรการกระตุ้นกำลังซื้ออย่าง “คนละครึ่ง” เพื่อหนุนจีดีพีฟื้นตัว

สถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่ามากสุดในรอบ 4 ปี ณ เวลานี้ กลายเป็นแรงกดดันสำคัญที่ฉุดภาคการส่งออกและท่องเที่ยวไทยในช่วงครึ่งปีหลังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้เงินบาทแข็งค่าไม่ได้หมายถึงเศรษฐกิจไทยแข็งแรง แต่ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นแรงถ่วง เพราะสินค้าไทยแพงกว่าคู่แข่ง นักท่องเที่ยวก็มีกำลังซื้อลดลง

ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ ในสินค้าเกษตรและอาหารที่มีมาร์จิ้นหรือกำไรเพียง 3-5% เมื่อเงินบาทแข็งเพียง 1 บาท ก็ทำให้รายได้จากการขายหดตัวทันที โดยเฉพาะตลาดยุโรปและสหรัฐ ที่ลูกค้าเปรียบเทียบราคาอย่างเข้มข้น ซึ่งถ้าคู่แข่งขายได้ถูกกว่าไทย 5-10% ผู้ซื้อจะเปลี่ยนซัพพลายเออร์ทันที และจะส่งผลต่อห่วงโซ่สินค้าเกษตรและอาหารของไทยทั้งหมด

“ การแข็งค่าของเงินบาทในรอบนี้ไม่ได้มาจากเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง แต่เกิดจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า และเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้น-ตลาดพันธบัตรไทย รวมถึงแรงซื้อทองคำและคริปโต ทำให้เงินบาทแข็งค่าเกินพื้นฐาน หากปล่อยไว้นาน เศรษฐกิจไทยจะเสียสมดุล และผู้ส่งออกอาจสูญเสียตลาดถาวร”

ส่วนผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว แม้จำนวนนักท่องเที่ยวยังฟื้นตัว แต่เงินบาทแข็งทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยจึงลดการใช้จ่าย เลือกโรงแรมราคาถูกลง หรือเลี่ยงร้านอาหารหรู ทั้งนี้แม้ท่องเที่ยวไทยยังได้เปรียบด้านความปลอดภัยและเสน่ห์ท่องเที่ยว แต่ถ้าแข่งราคาไม่ได้ ก็ทำให้รายได้รวมของประเทศไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย

ในส่วนของภาคเอกชน โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินการส่งออกทั้งปีของไทย ณ เดือนกันยายน 2568 จะโตเพียง 2-3 %จากที่ครึ่งปีแรกโตถึง 14% แต่ถูกฉุดด้วยบาทแข็งและมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐที่ทำให้การส่งออกของไทยไปสหรัฐเริ่มชะลอตัวลง และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานจากประเทศที่นำเข้าสินค้าวัตถุดิบจากไทยไปผลิตเพื่อส่งออกต่อไปสหรัฐด้วย ส่วนจีดีพีไทยปีนี้คาดว่าจะโตเพียง 1.8-2.2% ซึ่งตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาค

ส่วนทีมเศรษฐกิจคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ตามรายชื่อที่ปรากฏหน้าตาดูดี ใช้ได้ โดยประกอบด้วยผู้ที่มีประสบการณ์จริงในแวดวงการคลัง พลังงาน และการค้า แต่รัฐบาลมีเวลาเพียง 4 เดือน จึงต้องเร่งขับเคลื่อนทันที นอกจากนี้อีกหนึ่งโจทย์เร่งด่วนคือการแต่งตั้งหัวหน้าทีมเจรจาการค้าสหรัฐ เพื่อแก้ปัญหาที่ไทยจะเปิดตลาดสินค้านำเข้าจากสหรัฐ หลังบรรลุดีลภาษีที่ 19% ถ้าไทยยังไม่มีหัวหน้าทีมเจรจา จะเสียเปรียบคู่แข่ง เพราะการเจรจาต้องทำโดยมืออาชีพ

ส่วน มาตรการ “คนละครึ่ง” ที่รัฐบาลชุดใหม่ส่งสัญญาณจะนำมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อ เป็นเครื่องมือที่เห็นผลชัดเจนและเร็วที่สุด เพราะสร้างแรงจูงใจให้คนออกมาจับจ่าย ขณะที่ผู้ค้ารายย่อยก็ได้ยอดขายเพิ่มขึ้น ส่วนมาตรการอื่น เช่น ช้อปดีมีคืน หรือ เที่ยวไทยคนละครึ่ง หรือมาตรการอื่น ๆ ก็ช่วยได้ หากออกมาเป็นแพ็กเกจ

นอกจากบาทแข็งและภาษีการค้าแล้ว ปัญหาหนี้ครัวเรือนและดอกเบี้ยสูงยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลใหม่ต้องจัดการ หนี้ครัวเรือนไทยเกือบ 90% ของจีดีพี คนมีรายได้แต่ใช้ไปกับหนี้หมด ทำให้กำลังซื้อหดตัว