In News

ลุ้น!ครม.อนุทิน1'เผย18ก.ย.พบหอการค้า เอกชนเลียงหน้าแนะฟื้นเศรษฐกิจ4เดือน



จับตาโฉมหน้าครม.อนุทิน คาด ช้าสุดพรุ่งนี้ นายกฯ ยัน รายชื่อเสร็จสิ้นแล้ว นำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ภายในสัปดาห์นี้ ขณะที่บรรยากาศพรรคภูมิใจไทยวันนี้เงียบเหงา มีหลายเดินสายหารือหอการค้าไทยวันพรุ่งนี้ ด้านธุรกิจภาคเอกชนยังออกมานำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่อเนื่อง ล่าสุด งานวิจัยกรุงศรีชี้!สถานการณ์การเมืองไทยชัดเจน-ต่อเนื่อง คาดนโยบาย4ด้านหนุนการฟื้นตัวความเชื่อมั่นได้ ส่วนสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เสนอ รัฐบาลอนุทิน ออกมาตรการระยะสั้นกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสร้างแรงส่งที่เป็นรูปธรรมต่อภาคค้าปลีก เส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจไทย และสรุปผลหารือนายกฯอนุทินทีมเศรษฐกิจและสภาอุตสาหกรรม

วันที่ 16 กันยายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความคืบหน้าการทูลเกล้าฯ รายชื่อคณะรัฐมนตรี อนุทิน 1 จะมีความชัดเจนเร็วสุดในเย็นวันนี้ (16 ก.ย.) หรืออย่างช้าในวันพรุ่งนี้ (17 ก.ย.) ซึ่งต้องรอความชัดเจนจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

ขณะที่ บรรยากาศพรรคภูมิใจไทยในช่วงเช้าวันนี้ ยังคงเงียบเหงา มีแกนนำพรรคเดินทางเข้าที่ทำการพรรค อาทิ นายทรงศักดิ์ ทองศรี ว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทย ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เบื้องต้นยังไม่มีกำหนดการเดินทางเข้าพรรคในวันนี้

อย่างไรก็ตาม นายอนุทินได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า รายชื่อคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้นแล้วซึ่งจะสามารถทูลเกล้าฯ ได้ ภายในสัปดาห์นี้

'อนุทิน'เตรียมยกทีมศก.คุยหอการค้าไทยในพฤหัสฯที่18ก.ย.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และคณะฯมีกำหนดการเดินทางไปยังสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย วันที่ (18 กันยายน 2568)โดยจะมีประชุมหารือแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ระหว่างคณะรัฐบาล และคณะกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นำโดย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย 

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาทางหอการค้าฯ มาตรการต่าง ๆ ที่อยากเสนอให้ภาครัฐเข้ามาแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องการแข็งค่าของเงินบาทส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ซึ่งหอกาค้า อยากเสนอแนวทางว่า ควร แยกดุลทองคำออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถประเมินผลกระทบต่อค่าเงินได้ตรงจุด 

ขณะเดียวกันอยากเสนอให้ ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาจัดการดูแลในส่วนนี้อย่างเป็นระบบ เพราะหากปล่อยให้กลไกค่าเงินผันผวนโดยไม่สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทย จะทำให้ผู้ประกอบการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่ค้า

นอกจากนี้ยังมีความกังวลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยทั้งจากสภาพเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว แรงกดดันจากสงครามการค้า และการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs 

ทั้งนี้ เพื่อเป็นมาตรการลดภาระให้กับผู้ประกอบการไทย จึงอยากเสนอให้ภาครัฐพิจารณาปรับลดวงเงินประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการประเภทที่ 3 กิจการขนาดกลาง ประเภทที่ 4 กิจการขนาดใหญ่ และประเภทที่ 5 กิจการเฉพาะอย่าง (กิจการโรงแรมและให้เช่าพักอาศัย) ที่ปัจจุบันมีการวางเงินประกันการใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยขอให้ปรับลดวงเงินประกันฯ ให้เหลือ 0.5 เท่า 

วิจัยกรุงศรี ชี้!สถานการณ์การเมืองไทยชัดเจน-ต่อเนื่อง

วิจัยกรุงศรี รายงานภาวะเศรษฐกิจและการเงินประจำสัปดาห์ว่า จากการที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนสิงหาคมร่วงต่ำสุดในรอบ 32 เดือน ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการคนละครึ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนสิงหาคมลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 ที่ 50.1 จาก 51.7 ในเดือนกรกฎาคม

เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในประเทศ (สำรวจก่อนมีการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง)ออมสิน! ปล่อย Soft Loan แสนล้าน ดึง AI หนุนบริการ SMEs - คนฐานราก ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ เข้ม! จัดการบัญชีม้า เร่งปลดล็อกผู้บริสุทธิ์เร็วสุด 4 ชั่วโมง ช้าสุด 1 วัน

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า และผลกระทบของนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อภาคส่งออกและการจ้างงานในประเทศ

ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับลดลงต่อเนื่องจนแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี นับเป็นสัญญาณสะท้อนถึงแรงกดดันต่อการใช้จ่ายภาคครัวเรือน สอดคล้องกับตัวเลขดัชนีการบริโภคภาคเอกชน (PCI) ซึ่งธปท. รายงานว่าในเดือนกรกฎาคมหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ที่ -0.2% MoM ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง ภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้า และการลดลงของรายได้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดรัฐบาลชุดใหม่เตรียมนำมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น โครงการ “คนละครึ่ง” กลับมาใช้อีกครั้ง โดยอาจใช้งบประมาณวงเงินราว 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเดิมเตรียมไว้ใช้ทำโครงการ Digital Wallet ช่วยพยุงการบริโภคภายในประเทศในระยะสั้น รวมทั้งช่วยบรรเทาความกังวลของผู้บริโภค ผู้ประกอบการ SME และธุรกิจรายย่อยที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก โดยภาพรวมน่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยยังพอมีแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นจังหวะที่แรงกดดันจากภาคต่างประเทศส่งผลต่อการส่งออกชัดเจนขึ้น

ทั้งนี้นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีได้ระบุถึงนโยบายสำคัญ 4 ด้าน ที่จะเร่งดำเนินการในช่วงบริหารประเทศ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ: ลดค่าครองชีพด้านพลังงานและการเดินทาง แก้ปัญหาหนี้เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย พร้อมสร้างรายได้ให้ชุมชนฐานราก

ด้านความมั่นคง: แก้ปัญหาความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชาด้วยสันติวิธี ยึดหลักไม่เสียดินแดน ไม่เสียประโยชน์ และชดเชยผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึง

ด้านภัยธรรมชาติ: จัดทำระบบเตือนภัย ป้องกัน เยียวยา และชดเชยความเสียหายแก่ผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม

ด้านภัยสังคม: ปราบปรามยาเสพติด ค้ามนุษย์ การพนัน และสแกมเมอร์ โดยสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน

นอกจากนี้ บรรยากาศทางการเมืองที่ชัดเจนขึ้น และการแถลงทิศทางนโยบายด้านต่างๆ ข้างต้น คาดว่าจะช่วยหนุนให้การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายสำคัญคือ การคำนึงถึงประสิทธิผลของนโยบายและการทำให้นโยบายเหล่านี้เกิดผลจริงในระยะเวลาอันสั้น ภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ และสถานะของรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่อาจกระทบต่อการผลักดันบางนโยบาย

ดังนั้น การจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินนโยบาย รวมทั้งการทำในสิ่งที่เร่งด่วนและเห็นผลได้เร็ว ควบคู่กับการวางรากฐานในระยะข้างหน้า น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยประคองให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางแรงกดดันที่มากขึ้นจากสถานการณ์เศรษฐกิจต่างประเทศ

สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเสนออนุทิน3ด้านกระตุ้นศก.

นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 กำลังจัดทำนโยบายและฟอร์มทีมเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนประเทศ โดยประกาศชัดว่าจะเร่งมาตรการลดค่าครองชีพและกระตุ้นเศรษฐกิจ

สมาคมผู้ค้าปลีกไทยมองว่า 3 เดือนข้างหน้าเป็นจังหวะสำคัญ สำหรับการออกมาตรการระยะสั้น เพื่อสร้างแรงส่งที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในภาคค้าปลีกซึ่งมีมูลค่ากว่า 4 ล้านล้านบาท และเป็นเส้นเลือดใหญ่เชื่อมโยงการผลิต การบริการ และการ จ้างงานนับล้านชีวิต สมาคมฯ จึงขอนำเสนอนโยบาย Quick Win เพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐบาล

“สมาคมผู้ค้าปลีกไทยขอแสดงความยินดีกับ คุณอนุทิน ชาญวีรกูล ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 เชื่อมั่นว่ารัฐบาลใหม่และทีมงานที่มีศักยภาพ มีความพร้อมกำหนดแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าอย่างมั่นคง”

โดยสมาคมฯ เห็นว่ามาตรการที่จะเกิดผลจริงต้องครอบคลุม ตรงเป้า และเห็นผลชัดเจน ไม่เพียงช่วยผู้บริโภค แต่ยังสนับสนุน SMEs เกษตรกร แรงงาน และธุรกิจทุกระดับ เพื่อสร้างงาน เพิ่มกำลังซื้อ และกระตุ้นการหมุนเวียนของเงินในระบบ ดังนั้น สมาคมฯ จึงขอเสนอชุดมาตรการเพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐบาล ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันทีและคาดว่าจะสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างเป็นรูปธรรม

1.กระตุ้นการจับจ่าย เพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียน (Spending Boost) เพื่อสร้าง Multiplier Effect หรือผลกระทบเชิงเศรษฐกิจเชื่อมโยงหลายทอด สมาคมฯ ขอเสนอมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีทันที

2.ส่งเสริมไทยเป็นสวรรค์แห่งการช้อปสำหรับนักท่องเที่ยว (Shopping Paradise) เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวและสร้างความสามารถในการแข่งขันกับภูมิภาค สมาคมฯ

3.กระตุ้นการจ้างงานและเสริมกำลังแรงงาน การจ้างงานรายชั่วโมง ช่วยลดปัญหาการว่างงาน โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษา ผู้สูงอายุ และแรงงานนอกระบบ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการค้าปลีกจะสามารถบริหารต้นทุนแรงงานได้คล่องตัวมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการในช่วงเวลาที่มีลูกค้าหนาแน่น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงาน กระจายรายได้ และเสริมความแข็งแกร่งให้ตลาดแรงงานไทย

 “สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเชื่อมั่นว่า มาตรการเหล่านี้จะไม่เพียงช่วยภาคค้าปลีก แต่ยังสร้างประโยชน์ต่อผู้ผลิต SMEs เกษตรกร แรงงาน และผู้บริโภคทุกกลุ่ม ก่อให้เกิดแรงส่งเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง สมาคมฯ พร้อมทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงภาคค้าปลีกกับรัฐบาล เพื่อผลักดันให้มาตรการเหล่านี้เกิดขึ้นได้จริง และร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน”นายณัฐกล่าว

สรุปผลหารือนายกฯอนุทิน-สภาอุตฯ

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับ นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี และทีมงาน เสร็จสิ้นว่า ในวันนี้ภาคเอกชนและรัฐบาลได้มีการหารือ พูดคุยและรับฟังแนวคิด ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและปัญหาต่างๆที่ภาคอุตสาหกรรมกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งภาคเอกชนอยากเรียกร้องให้ หลังจากที่มีการโปรดเกล้าแล้วรัฐบาลเริ่มทำงานได้เลยทันที เพราะทุกนาทีมีความหมาย

โดยในที่ประชุมภาคเอกชนได้สะท้อนในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องกฎหมาย ,ภาษีสหรัฐ , Regional Value Content (RVC) และ Local content  ที่ไทยจะต้องเจรจากับสหรัฐ เพราะแม้จะมีอัตราภาษีออกมาที่ชัดเจนแล้ว แต่ในส่วนของ Local content  จะต้องมีการพูดคุยในรายละเอียดกับสหรัฐต่อ ว่าจะกำหนดมาตรฐานแบบใด และอุตสาหกรรมไหนทำได้และไม่ได้บ้าง รวมถึงรัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยาอย่างไร

นอกจากนี้ ยังรวมถึง ปัญหาในเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้า โดยเฉพาะในปัญหาสินค้าราคาถูกที่ทะลักเข้ามาในไทย และส่งผลกระทบให้กับเอสเอ็มอีไทยในปี 2566 ถึง 24 กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งหากปี 2568 รัฐาลไม่มีมาตรการที่เหมาะสม คาดว่า จะส่งผลให้มีสินค้าราคาถูกทะลักเข้ามาขยายเพิ่มเป็น 30 อุตสาหกรรม

ขณะที่ เอสเอ็มอี ที่ถือว่าเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุดอยู่ ณขณะนี้ และสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับที่สูง ส่งผลถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุน จึงอยากให้ภาครัฐเข้ามาแก้ปัญหาให้ตรงจุด เช่น การ Haircut หนี้ และ การขยายวงเงิน โดยเฉพาะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ซึ่งปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่กดดันกำลังซื้อของคนในประเทศ

ส่วนปัญหาสถานการณ์ ชายแดนไทย-กัมพูชา นั้น ก็ต้องยอมรับว่า ส่งผลกระทบต่อ supply chain ในภาคอุตสาหกรรม และถึงแม้ปัจจุบันภาคเอกชนจะแก้ไขปัญหากันเองแต่เจอปัญหาต้นทุนสูงอยู่  อย่างไรก็ตามเอกชนเข้าใจในเรื่องของการรักษาอธิปไตยให้กับประเทศของรัฐ แต่อยากให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาให้ถูกต้อง แต่ยืนยันว่าไม่ได้กดดันการทำงานของภาครัฐ เพียงแค่อยากให้มีมาตรการที่เข้ามาเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น เพื่อให้สามารถประคองธุรกิจต่อไปได้ในระหว่างที่รัฐยังเจรจายุติปัญหาชายแดนอยู่

นอกจากนี้ภาคเอกชน ยังเสนอให้รัฐบาล กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการเมดอินไทยแลนด์ ที่เริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2566 โดยอยากให้รัฐบาลผลักดันโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เพิ่มสัดส่วนการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย จากปัจจุบัน 5% เป็น 10-20%  พร้อมกับเสนอว่าอยากให้เพิ่มสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีเพิ่มเป็น 2 เท่า สำหรับการซื้อสินค้าเมดอินไทยแลนด์  รวมถึงสนับสนุนให้ผู้ส่งออกใช้สินค้าของไทยเป็นวัตถุดิบในการผลิตมากขึ้น ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหา RVC และ Local Content ได้

นายเกรียงไกร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของเรื่องพลังงาน เอกชนอยากเรียกร้องให้รัฐบาล ลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ เนื่องจากว่า หากมีการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศจะเพิ่มต้นทุนถึง 58%  แต่มองว่า Pool Gas ก็ยังไม่เหมาะสม เพราะว่าช่วยลดต้นทุนได้แค่ 2-3% เท่านั้น ซึ่งทำให้ภาคเอกชนไม่สามารถแข่งขันได้

ขณะที่โครงการคนละครึ่ง  นายเกรียงไกร กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลทำต่อไป เพราะมองว่าเป็นมาตรการที่ดี นอกจากนี้ยังเสนอให้กรมศุลกากรมีมาตรการที่เข้มงวดดูแลในเรื่องสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานลักลอบเข้ามาในประเทศหรือสำแดงไม่ตรงปก ให้มีการตรวจตรามากขึ้น

ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอยู่ในขณะนี้ นายเกรียงไกร ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ค่าเงินบาทไทยแข็งขึ้นมาถึง 7% เกือบสูงสุดในภูมิภาครองจากประเทศไต้หวันเท่านั้น ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ ที่ผู้ประกอบการไทยค่อนข้างกังวล เนื่องจากกระทบการส่งออก เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างเวียดนาม ที่ตั้งแต่ต้นปีค่าเงินเวียดนามอ่อนตัวลงไป 3% ส่งผลกระทบให้ไทยเสียเปรียบในเรื่องของการส่งออกกับประเทศคู่แข่งทางการค้า เพราะไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกถึง 60% ของ GDP นอกจากนี้ยังกระทบภาคการท่องเที่ยว โดยมองว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่ 34 - 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของค่าเงินบาท นายกรัฐมนตรี จะส่งคณะทำงาน เข้ามาหารือกับสภาอุตสาหกรรม ในเรื่องของรายละเอียดข้อมูล เพื่อวางแนวทางในการแก้ปัญหาค่าเงินบาทล่วงหน้า ก่อนที่รัฐบาลจะเข้ามาทำงานเต็มตัว

ส่วนกรณีที่ กกร. พบว่าไทยส่งออกทองคำไปยังกัมพูชามีสัดส่วนสูงผิดปกติ โดยในปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก ปี 2566  ถึง 10 เท่า หรือมีมูลค่าอยู่ที่ 105,000 ล้านบาท  ขณะที่ในปี 2568  7 เดือนแรก ส่งออกไปแล้ว 71,000 ล้านบาท และเฉพาะในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเดือนที่มีสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างชายแดนไทยกัมพูชา แต่กลับพบว่าเดือนเดียวมีการส่งออกทองคำไปถึง 8,000 ล้านบาท โดยยืนยันว่า การออกมาให้ข้อมูลนั้น เพื่อให้รัฐบาลมีการตรวจสอบให้ชัดเจน แต่ก็ทราบมาว่าวันนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย มีการหารือร่วมกับสมาคมค้าทองคำ เพื่อพูดคุย ชี้แจงกันในเรื่องของรายละเอียด

อย่างไรก็ตาม แม้กรมศุลกากรและกระทรวงพาณิชย์จะออกมายืนยันว่า การส่งออกทองคำ ไม่มีความผิดปกติ นั้น แต่ทางภาคเอกชนอยากให้มีการตรวจสอบเชิงลึก ไปถึงผู้ซื้อและผู้ขายทองคำระหว่างสองประเทศ เนื่องจากเคยเกิดกรณีศึกษา อย่าง ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และดูไบ ที่มีการซื้อขายทองคำในสกุลดอลล่าร์และนำกลับมาแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินของตัวเอง ส่งผลให้ค่าเงินของทั้งสองประเทศแข็งค่า จนส่งผลต่อเศรษฐกิจในลักษณะนี้เช่นกัน  จึงอยากให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบที่มาที่ไปให้ชัดเจน ว่าทำไมประเทศไทยถึงมีการส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาสัดส่วนสูงผิดปกติ

ทั้งนี้ หากไม่ได้รายละเอียดที่ชัดเจน ก็จะทำให้การแก้ปัญหาค่าเงินบาทของไทยที่แข็งค่าอยู่ณขณะนี้ ทำได้ไม่ตรงจุด และส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยในระยะยาวได้