In News

สศช.แนะรัฐบาลทำแผนขึ้น‘ภาษีแวต10%’ แยกเป็นกลุ่มสินค้าเพิ่มศักยภาพการคลัง



กรุงเทพฯ-สศช.แนะทำแผนขึ้น ภาษีแวต’ รายกลุ่มสินค้า เพิ่มศักยภาพการคลัง จากภาคการคลังมีข้อจำกัดจากระดับหนี้สาธารณะที่ปรับตัวสูงขึ้นใกล้ระดับเพดานหนี้ที่ 70% ต่อ GDP อีกทั้งความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่รายจ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะรายจ่ายที่ยากต่อการลดทอนและรายจ่ายสวัสดิการปรับตัวสูงขึ้น หลังรัฐบาลขยายเวลาการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหรือVAT 7%ออกไปอีก1ปี ถึงตลุาคม 2569

จากกรณีที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยเป็นการขยายเวลาการจัดเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) 7% (รวมภาษีท้องถิ่น) ต่อไปอีก เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569 เพื่อลดผลกระทบจากค่าครองชีพ ช่วยกระตุ้นการบริโภคของประชาชนนั้น 

รายงานข่าวจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สศช.ได้จัดทำความเห็นประกอบ โดยมีสาระสำคัญว่า ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีขอให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เรื่องการขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ของกระทรวงการคลังครั้งนี้

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาแล้ว ไม่ขัดข้องในหลักการของ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อช่วยรักษาระดับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญตามการลดลงของการส่งออกสินค้าและ ภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบจากการดำเนินมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าศุลกากรนำเข้าของ สหรัฐฯ ประกอบกับแนวโน้มการชะลอตัวของการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ภาคการคลังมีข้อจำกัดจากระดับหนี้สาธารณะที่ปรับตัวสูงขึ้นใกล้ระดับเพดานหนี้ที่ 70% ต่อ GDP อีกทั้งความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่รายจ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะรายจ่ายที่ยากต่อการลดทอนและรายจ่ายสวัสดิการปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลของรายได้และรายจ่ายภาครัฐและทำให้ ความสามารถในการรองรับวิกฤตในอนาคตลดลง

ดังนั้น กระทรวงการคลัง จึงควรพิจารณากำหนดแผนการทยอยการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้มีความชัดเจน โดยอาจเริ่มจากการปรับเพิ่มแบบเฉพาะรายกลุ่มสินค้าในช่วงเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ควบคู่ไปกับการกำหนดแนวทางการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง (fiscal consolidation) อย่างเป็นรูปธรรม

โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อลดข้อจำกัดทางการคลังและเตรียมพื้นที่ทางการคลังไว้สำหรับรองรับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเงินโลก การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น

ทั้งนี้ที่ประชุมครม. ได้เห็นชอบร่างกฎหมายฉบับนี้ และได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย