In News

เปิดมุมมองส่งท้ายของ'ผู้ว่าฯเศรษฐพุฒิ' แนะรัฐบาล4เดือน/ห่วงไทยถูกลดเครดิต



กรุงเทพฯ-เปิดมุมมองส่งท้ายของผู้ว่าฯธปท. “ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ที่เหลือเวลา14วันก่อนครบวาระ ได้เปิดมุมมองส่งท้ายในหลายประเด็นที่น่าสนใจ “ภาวะค่าเงินบาท/ดุลชำระเงินผิดปกติ-จับตาส่งออกทองกัมพูชา/ไทยเสี่ยงถูกลดความเชื่อมั่น-เสถียรภาพ คลังถูกฉุด/คนแห่ถอนเงินหนีการอายัดบัญชีและรัฐบาล 4 เดือน แต่ต้องต้องทำอย่างไร

อีก 14 วัน ธนาคารประเทศไทย (ธปท.) กำลังจะผลัดใบ ในภาวะปัญหาหลายเรื่องที่ทุกคนยังสงสัย ไม่ว่าจะเป็น “ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นแรง” ทองคำที่อาจเป็นต้นตอของปัญหา ไปจนถึงดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านมาแบงก์ชาติรับมือได้แค่ไหน

มาส่องมุมมอง ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนที่24 กับบทเรียน 5 ปีที่ผ่านมาบนเก้าอี้ผู้ว่าการฯ ทุกข้อสงสัยมีคำตอบ รวมถึงคำถามมาตรการทางการเงินของรัฐบาล “อนุทิน” 4 เดือนควรทำอะไรได้บ้าง

ภาวะค่าเงินบาทดอลลาร์อ่อน-ทองคำหนุนค่าเงิน แข็งเกินพื้นฐานเศรษฐกิจ

ผู้ว่าฯ เศรษฐพุฒิ บอกถึงสาเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 7% ในช่วงต้นปี 2568 โดยหลักยังมาจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มจะลดอัตราดอกเบี้ยลง นอกจากนี้ ยังมีอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าเงินบาทนั่นคือ ธุรกรรมการซื้อขายทองคำ ซึ่งคนไทยนิยมซื้อขายเป็นเงินบาท ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเงินบาท-ดอลลาร์สหรัฐในปริมาณมาก และดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ล่าสุดมีการหารือร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องโดยมีหลายแนวทางที่พูดคุยกันอยู่ เช่น ภาษีทอง, การซื้อขายทองในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องค่าเงินบาท ธปท. มีการเข้าดูแลเพื่อลดความผันผวน ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการค้าอย่างต่อเนื่อง โดยยืนยันว่า ธปท. ไม่ได้ต้องการแทรกแซงค่าเงินเพื่อกำหนดทิศทาง แต่เพื่อลดความผันผวน

ผู้ว่าฯ ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทแข็งขึ้นแล้วราว 7% ซึ่งถือว่าสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอย่างชัดเจน ทั้งที่เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และไม่สอดคล้องกับหลักการทางเศรษฐศาสตร์ตามตำรา ดร.เศรษฐพุฒิอธิบายว่า ตามทฤษฎีแล้ว ประเทศที่ขึ้นภาษีการค้า (tariff) เพื่อกีดกันการค้า เช่นกรณีของสหรัฐฯ ค่าเงินควรแข็งขึ้น แต่กลับเกิดตรงกันข้าม โดยดอลลาร์อ่อนค่าลงหลังประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้มาตรการดังกล่าว ส่งผลให้ประเทศในเอเชียรวมถึงไทยเผชิญกับสถานการณ์ค่าเงินแข็งที่ “ผิดธรรมชาติ”

ปัจจัยที่ซ้ำเติมคือราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากทั้งนักลงทุนและสถาบันการเงินหันมาเก็บทองเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนทางการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ โดยค่าเงินบาทมีความสัมพันธ์ (correlation) กับราคาทองในระดับสูง ซึ่งปัจจุบันแตะ 0.7 จากที่เคยอยู่ในระดับต่ำกว่ามากในอดีต

เมื่อราคาทองปรับขึ้น ค่าเงินบาทจึงมักแข็งตามทันที กลไกสำคัญเกิดจากพฤติกรรมของผู้ซื้อขายทองในประเทศ คนไทยนิยมถือทองและขายทำกำไรเมื่อราคาทองขึ้น ทำให้ดอลลาร์ที่ได้จากการขายทองถูกนำกลับมาแลกเป็นเงินบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งแรงกว่าประเทศอื่น ผู้ว่าฯ ชี้ว่านี่คือแรงกระทบ “สองเด้ง” คือดอลลาร์อ่อนจากคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟด และราคาทองพุ่งขึ้นในเวลาเดียวกัน

ด้านมาตรการควบคุมค่าเงินที่ผ่านมา ดร. เศรษฐพุฒิยืนยันว่าได้มีการดูแลค่าเงินมาตลอด โดยได้มีการดำเนินมาตรการนโยบายการเงิน เช่น การลดดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.5% เหลือ 1.5% แต่ก็ไม่ช่วยชัดเจน เพราะแม้อัตราดอกเบี้ยของไทยต่ำกว่าประเทศรอบข้าง เงินบาทยังแข็งต่อเนื่อง นอกจากนี้ ธปท. พยายามดูแลค่าเงินไม่ให้ผันผวนรุนแรงเกินไป โดยเฉพาะเพื่อปกป้องผู้ส่งออกและ SMEs ที่ยังทำ hedging น้อย แต่การดูแลทำได้เพียงบรรเทาความแรง ไม่สามารถเปลี่ยนทิศทาง

นอกจากนี้ ในการประชุมล่าสุดกับสมาคมค้าทองคำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ดร.เศรษฐพุฒิยังยอมรับว่า ธปท. ได้หยิบ “ภาษีทองคำ” มาหารือเป็นหนึ่งในทางเลือกในการลดผลกระทบของการซื้อขายทองต่อค่าเงินบาทตามข่าว แต่ยืนยันว่ายังไม่ใช่ข้อสรุปจริงจัง และอาจต้องหารือมาตรการอื่นควบคู่ เช่น การส่งเสริมให้เทรดทองโดยตรงในดอลลาร์แทนการใช้บาท เพื่อลดแรงกดดัน แม้ผู้ค้าส่วนใหญ่ยังคุ้นเคยกับการใช้เงินบาท ผู้ว่าฯ ย้ำว่าทุกมาตรการต้องหารือร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพราะตลาดทองของไทยเชื่อมโยงผู้เล่นหลายระดับ

ดุลชำระเงินผิดปกติ-จับตาส่งออกทองกัมพูชา

ดร. เศรษฐพุฒิ ให้ความเห็นว่า การส่งออกทองของไทยไปกัมพูชาที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อค่าเงินบาทจริง เพราะเมื่อส่งออกทองได้เงินกลับมาเป็นดอลลาร์ เงินดอลลาร์นั้นจะถูกแปลงเป็นเงินบาท ทำให้เงินบาทแข็งขึ้น และยอมรับว่ามีความผิดปกติในดุลการชำระเงินจริง โดย net errors and omissions ปี 2567 สูงถึง 1.52 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งใหญ่กว่าดุลรวม (overall balance) ที่ 1.24 หมื่นล้านดอลลาร์ นั่นหมายถึงมีเงินทุนเคลื่อนย้ายจำนวนมากที่ยังอธิบายไม่ได้ และไม่แน่ชัดว่าจะเกี่ยวข้องกับการส่งออกทองและค่าเงินบาทหรือไม่

ผู้ว่าฯ ชี้ว่า ทุกหมวดในดุลการชำระเงินสะท้อนอุปสงค์-อุปทานของเงินตราต่างประเทศ เช่น การส่งออกคือซัพพลาย ส่วนการนำเข้าคือดีมานด์ เมื่อรวมแล้ว ไทยมีซัพพลายมากกว่าดีมานด์ ค่าเงินบาทจึงแข็ง แต่ปัญหาคือ net error ที่สูงผิดปกติ ทำให้ยากจะระบุว่ามาจากธุรกรรมใด โดยยกตัวอย่างว่าอาจเกี่ยวข้องกับธุรกรรมคริปโตที่ยังไม่ถูกบันทึกเต็มรูปแบบ การใช้ “นอมินี” ถือครองสินทรัพย์แทนต่างชาติ หรือธุรกิจสีเทา อย่างไรก็ดี ธปท. ยืนยันว่าตัวเลขดุลรวมยังถูกต้อง เพราะสอดคล้องกับทุนสำรองระหว่างประเทศ (reserve assets change)

ผู้ว่าฯธปท. เสริมอีกว่า เมื่อเวลาผ่านไปและตัวเลขหมวดอื่น “เฟิร์มขึ้น” เช่น ดุลบริการจากนักท่องเที่ยว หรือดุลการค้าจากข้อมูลศุลกากร ความผิดปกติของ net error จะค่อย ๆ กระจายออกและลดลง ทำให้ตามหาต้นทางเงินได้ชัดขึ้น พร้อมระบุว่าได้ประสาน ปปง. ให้ช่วยตรวจสอบแล้ว แต่ในระยะสั้นยังแจกแจงไม่ได้ละเอียด

โดยสรุป สาเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งผิดปกติในปีนี้ มาจากทั้งดอลลาร์อ่อนและแรงซื้อขายทองคำที่โยงกับพฤติกรรมการลงทุนของไทย มาตรการเดิม เช่น การลดดอกเบี้ยและการดูแลค่าเงิน ช่วยบรรเทาความผันผวน แต่ยังไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ขณะที่มาตรการใหม่ เช่น ภาษีทอง หรือการส่งเสริมให้มีการซื้อขายทองในสกุลดอลลาร์ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนความผิดปกติในดุลการชำระเงินและการส่งออกทองไปกัมพูชายังคงเป็นปริศนาที่ แม้ยังไม่สามารถฟันธงว่าโยงกับทุนเทา แต่ถือเป็น “สัญญาณเสี่ยง” ที่รัฐกำลังเร่งสอบสวนอย่างใกล้ชิด

5 ปีที่ผ่านมา นโยบายการเงินเหมาะสมและยืดหยุ่น

ดร.เศรษฐพุฒิ มองว่าการดำเนินนโยบายการเงินในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเหมาะสมและยืดหยุ่นพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยในช่วงที่ 1 (2563-2564) ไทยเจ็บจากวิกฤตโควิดที่รุนแรง จนช่วงนั้นมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาแตะ 0.5% ต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ที่ประเทศต้องการฟื้นตัวจากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นช้า

ช่วงที่ 2 (2565) ดอกเบี้ยนโยบายขยับเพิ่มมาอยู่ที่ 2.5% ต่อปี ในภาพรวมหลายฝ่ายต่างถามว่าควรจะเบรกเหมือนทิศทางดอกเบี้ยในต่างประเทศไหม (ที่เขากังวลเรื่องเงินเฟ้อสูง) แต่เรามองว่าดอกเบี้ยที่ระดับนี้เราทำเพื่อก้าวสู่ระดับ Neutral ที่เหมาะสมของไทย ซึ่งแต่ละประเทศไม่เท่ากัน และผมมองว่าทำได้ดีแล้ว

ช่วงที่ 3 (2566-2567) เราเลือกเก็บ Policy Space หรือเก็บกระสุนดอกเบี้ยนโยบายของไทยไว้ เพราะไทยอาจเจอช็อกจากปัจจัยโลกที่อยู่เหนือการควบคุม เมื่อมีจังหวะที่ใช่ก็ทยอยลดดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 2.5% ต่อปี

มาถึงช่วงที่ 4 (ปี 2568) ดอกเบี้ยนโยบายทยอยลดลงจนปัจจุบันมาอยู่ที่ระดับ 1.5% ต่อปี เพราะมีลมต้านจากปัจจัยทั่วโลก ทั้งนโยบายการค้า และเศรษฐกิจที่ไม่ฟื้นตัวอย่างที่คาด จึงมองว่าดอกเบี้ยในปัจจุบันมองว่าเหมาะสมแล้ว แม้ตลาดมองว่ายังลงช้าเกินไป

ในภาพรวมปี 2568 ธปท. ยังคาดว่า GDP ไทยปี 2568 อยู่ที่ 2.3% สามารถประคองตัวอยู่ได้ ซึ่งมาจากแรงส่งในครึ่งแรกที่เติบโต 3% ครึ่งปีหลังคาดว่าจะเกิน 1% ส่วนปี 2569 ถ้าถามว่าเรื่องไหนเป็นห่วงมากที่สุดคือเรื่องความเสี่ยงด้านการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2569 ที่อาจส่งผลให้เศรษฐกิจชะงักได้อีกครั้งเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

บทเรียนสำคัญจากการทำงานตลอด 5 ปี

ดร.เศรษฐพุฒิ ได้กล่าวถึงบทเรียนสำคัญ 3 ประการที่ได้จากการทำงาน โดยเฉพาะการบริหารในช่วง 2 วิกฤตใหญ่ คือ วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 และวิกฤตโควิด-19

วิกฤตจบ มาตรการไม่จบ: บางนโยบายที่ใช้แก้ปัญหาในช่วงที่เกิดวิกฤต เมื่อวิกฤตจบแล้วมาตรการกลับไม่จบตามไปด้วย หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การลดภาษี VAT ชั่วคราวในปี 2540 ที่ตอนแรกจะเริ่มใช้เพียง 2 ปี แต่ถึงทุกวันนี้ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน

การสื่อสารตรงจุด ชื่อโครงการเข้าใจง่าย: ยอมรับว่าการตั้งชื่อมาตรการ Responsible lending (RL) ที่เริ่มใช้มายังอาจสื่อสารได้ตามที่ต้องการ และประชาชนยังไม่มีความเข้าใจเท่าที่ควร หากย้อนเวลาได้จะเปลี่ยนชื่อใหม่

การเริ่มโครงการ Your Data "ข้อมูลของคุณ สู่บริการทางการเงินที่ตอบโจทย์": ธปท. เริ่มพัฒนาระบบนี้ช้าเกินไป ทั้งที่ตระหนักถึงความสำคัญ แต่การดำเนินการใช้เวลามาก

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากมุมมองของ เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจมหภาคและปัญหาเชิงโครงสร้าง พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นระหว่างภาครัฐกับประชาชน และการดำเนินนโยบายที่ต้องคิดอย่างรอบด้าน เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

ห่วงไทยถูกลดความเชื่อมั่น-เสถียรภาพ คลังถูกฉุด

ดร.เศรษฐพุฒิ เปิดเผยว่า หากมองไปข้างหน้า เรามีความกังวล เรื่องเสถียรภาพการคลัง เนื่องจากยังมีประเด็นที่ต้องจับตามอง เพราะภาคการคลังไม่ได้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งช่วงโควิด ต้องใช้ทรัพยากรค่อนข้างมาก แต่สิ่งที่เราอยากเห็นหลังจากนี้ คือ เมื่อใช้กระสุนแล้ว ต้องมีการรัดเข็มขัด เพื่อให้ฐานะการคลังกลับมาสร้างเสถียรภาพระยะปานกลางให้สูงขึ้น 

สำหรับมิติปกติของเศรษฐกิจ เกิดได้จาก 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การคลัง ดุลชำระเงิน-ค่าเงิน และหนี้จากสถานบันการเงิน ซึ่งในภาพรวมประเทศไทยขณะนี้ยังไปได้ แต่เรื่องที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ คือ เรื่องการดูแลเสถียรภาพการคลัง มิฉะนั้น แรงโน้มถ่วงจะนำไปสู่การใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งยังไม่เห็นว่ามีความจำเป็น เพราะกระสุนที่มีอยู่มีจำกัด มีความเสี่ยงหากต้องนำมาใช้ในช่วงที่จำเป็น และเสี่ยงที่ประเทศจะถูกปรับลดอันดับเครดิตเรตติ้ง

ทั้งนี้ ช่วงเกิดวิกฤตรัฐบาลมีรายจ่ายเร่งขึ้น ส่วนรายได้ลดลง ขณะที่การขาดดุล และหนี้เพิ่มขึ้น โดยค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา รายจ่ายรัฐบาลเติบโต 4% ส่วนรายได้ โตเพียง 1.7% หากปล่อยไปเช่นนี้สัญญาณที่จะเกิดขึ้น จะไม่สอดคล้องกับความยั่งยืน และมีความเสี่ยงในการโดยปรับลดเครดิตเรตติ้งประเทศ

”กรอบความยั่งยืนทางการคลัง เรายังไม่เห็น สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีที่เพิ่มขึ้น ยังไม่ได้ลดลง และสมมติฐานที่ใส่ไว้ปรับลดลงได้ไม่ง่าย เพราะเราเห็นแนวโน้มรายได้ของรัฐชะลอตัวลง ส่วนรายจ่ายมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ไม่สอดคล้องกับเทรนด์ หรือภาพที่เราเห็นในอดีต จึงเป็นที่มาของเครดิตเรทติ้งที่จับตาดูเรา“

ขณะที่การแก้ปัญหาหนี้สิน ยังเป็นเรื่องที่ต้องทำ ซึ่งมองว่าจะต้องแก้จากปัญหารายได้ของประชาชน และปรับโครงสร้างหนี้

ทั้งนี้ ภาพระยะยาว ยังมีความกังวลเรื่องสินเชื่อเอสเอ็มอี เทรนด์ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจน โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เอสเอ็มอีอยู่ 7% ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ที 1% ซึ่งปัญหาที่เผชิญเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งมองว่ากลไกค้ำประกัน เช่น NAGGA ยังจำเป็น หรือหากไม่ใช้ส่วนนี้ ก็สามารถปรับเป็นรูปแบบอื่นก็ได้ เช่น การปรับกลไกของบสย. เพราะหากไม่มีส่วนใดมาช่วย การฟื้นของสินเชื่อจะยากมาก

กรณี "คนแห่ถอนเงิน" จากความกังวลเรื่องอายัดบัญชี

ผู้ว่าฯ ธปท. ยืนยันว่า ภาพรวมสภาพคล่องของธนาคารในประเทศยังปกติ และไม่ได้เกิด Bank run ตามที่มีกระแสข่าวลือ การที่บางสาขามีการถอนเงินหรือใช้เงินสดมากขึ้นเป็นเพียงเหตุการณ์เฉพาะจุดเท่านั้น และธนาคารได้เตรียมพร้อมเพื่อจัดส่งเงินสดไปยังสาขาต่างๆ ได้อย่างเพียงพอ พร้อมกล่าวขออภัยที่มาตรการทางกฎหมายบางอย่างสร้างความไม่สบายใจให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์

ทั้งนี้ ล่าสุดได้เร่งแก้ปัญหาที่ยังต้องมีมาตรการที่ชัดเจนในการจัดการบัญชีม้า แต่ต้องสามารถคัดกรองผู้สุจริตให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

รัฐบาล 4 เดือน แต่ต้องคิดถึงไทยในระยะยาว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงรัฐบาลใหม่ที่จะทำงาน 4 เดือน ผู้ว่าฯ มองว่า แม้จะมีเวลาทำงานสั้นๆ จึงอาจเห็นการเน้นนโยบายระยะสั้น แต่ถ้ามองถึงรากของประเทศไทยที่ต้องเร่งปรับและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง รัฐบาลต้องมองถึงนโยบายในระยะกลางและยาวควบคู่ไปด้วย เพื่อแก้ปัญหาการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงเรื่อยๆ ซึ่งถ้ายกตัวอย่างถึงการที่ประเทศไทยเผชิญกับเศรษฐกิจชะลอตัว ส่วนหนึ่งมาจากภาคการท่องเที่ยวที่ไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เพราะขาดความปลอดภัยในสายตาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เรื่องนี้ก็ต้องแก้ไข

ส่วนกรณีโครงการ คนละครึ่ง ผู้ว่าฯ มองว่า แม้รัฐบาลอาจจำเป็นต้องมีนโยบายเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ต้องเป็นนโยบายที่สอดคล้องกับเสถียรภาพการคลังในระยะกลาง โดยควรมีมาตรการในการสร้างรายได้ควบคู่ไปกับขาการใช้จ่ายของภาครัฐด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก