Think In Truth

'รีดVAT‘ทองคำ’สกัดบาทแข็ง...ไม่เวิร์ค' นักวิชาการแนะใช้‘ดอลลาร์’ซื้อขายแทน



นักวิชาการธรรมศาสตร์ เผยแนวคิดเก็บภาษีซื้อขายทองคำลดแรงหนุนเงินบาทแข็งค่า “แก้ไม่ตรงจุด” เสนอใช้มาตรการชั่วคราว ปรับระบบเป็นชำระด้วยดอลลาร์ ระบุ ลงทุนทองคำระยะสั้นอาจขาดทุนจากค่าเงินบาทผันผวน แต่ในระยะยาวยังคุ้มค่า แนะ นักลงทุนใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง Forward-Options ล็อกค่าเงินบาท/ดอลลาร์ล่วงหน้า ช่วยลดขาดทุนได้บางส่วน

รศ. ดร.วิชัย วิทยาเกียรติเลิศ ภาควิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีแนวคิดจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายทองคำในประเทศ เพื่อสกัดแรงหนุนค่าเงินบาทแข็งค่ามากสุดรอบ 4 ปี ตอนหนึ่งว่า สิ่งที่ภาครัฐควรดำเนินการเพื่อลดแรงหนุนค่าเงินบาทแข็งตัวจากการซื้อขายทองคำ คือการใช้มาตรการชั่วคราวด้วยการปรับระบบการชำระจากสกุลเงินบาทเป็นสกุลเงินดอลลาร์แทน ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่ประเทศอินเดียและอินโดนีเซียเคยใช้ ในการบรรเทาแรงกดดันต่อค่าเงินบาทในช่วงที่ตลาดโลกผันผวน แต่เมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว รัฐควรทยอยยกเลิกมาตรการนี้ เพื่อรักษาบทบาทของเงินบาทในฐานะเงินระดับภูมิภาค และไม่ทำให้ระบบการเงินไทยถูกผูกติดกับดอลลาร์มากเกินไป

“การเก็บภาษีธุรกรรมทองคำที่ชำระด้วยเงินบาท แม้จะช่วยลดแรงซื้อเงินบาทได้บางส่วน แต่ผู้เล่นสามารถเปลี่ยนไปใช้การชำระด้วยดอลลาร์แทนได้ทันที จึงเปรียบเสมือนการแก้สมการผิดตัวแปร ทำให้ได้รับผลลัพธ์ไม่ตรงจุดและอาจสร้างผลข้างเคียงเพิ่มความผันผวน กลายเป็นการสร้างภาระต่อตลาดและผู้ลงทุนทองคำในประเทศได้” รศ. ดร.วิชัย กล่าว

รศ. ดร.วิชัย กล่าวว่า การที่ราคาทองปรับตัวขึ้นพร้อมกับเงินบาทแข็งค่า เกิดขึ้นเพราะมีตัวแปรร่วมอื่นๆ ที่สำคัญ อาทิ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และเงินทุนที่ไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย โดยงานศึกษาของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) พบว่าเงินบาทมีบทบาทเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยกึ่งแท้ (quasi-safe haven) ในบางช่วงของความผันผวนระดับโลก ดังนั้นค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 4 ปี ซึ่งอยู่ราคาอยู่บริเวณ 31.7 บาทต่อดอลลาร์ ในสภานการณ์ที่เศรษฐกิจจริงยังชะลอตัวนั้น สะท้อนว่าค่าเงินกับเศรษฐกิจจริงไม่ได้เดินไปด้วยกันเสมอ

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวอีกว่า การที่ค่าเงินบาทแข็งเกินความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ มีสาเหตุอยู่ 3 ประการ คือ อุปสงค์จริงจากการส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อุปสงค์จากการเก็งกำไร ซึ่งเป็นเงินทุนของนักลงทุนที่ไหลเข้ามาในประเทศเพื่อทำกำไรระยะสั้น และสุดท้าย คือ ผลกระทบจากสินทรัพย์ปลอดภัย เพราะนักลงทุนมองเงินบาทเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคงในอาเซียน

ทั้งนี้ งานวิจัยของธนาคารโลก (World Bank) และธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ชี้ว่า เงินบาทเริ่มทำหน้าที่เป็นเงินระดับภูมิภาค อาทิ กว่า 70% ของเงินฝากในลาวเป็นสกุลต่างประเทศ และเงินบาทมีสัดส่วนสำคัญ อีกทั้งยังใช้แพร่หลายในการค้าชายแดนกับกัมพูชาและเมียนมา โดยมีการประเมินว่ามีเงินบาทหมุนเวียนนอกประเทศประมาณ 8 หมื่นล้านบาท – 1 แสนล้านบาทอย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวเป็นเพียงการประมาณการ ไม่ใช่ข้อมูลทางการ จึงควรใช้เพื่อชี้ทิศทาง ไม่ใช่ค่าที่แน่นอน

สำหรับนักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนในทองคำ รศ. ดร.วิชัย กล่าวว่า หากลงทุนทองคำระยะสั้น ผลตอบแทนจากราคาทองที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย อาจถูกความผันผวนของค่าเงินบาทลบกำไรออกหมดได้ภายในวันเดียว ทำให้การลงทุนทองคำอาจไม่คุ้มค่าในระยะสั้น

ทั้งนี้ เพราะข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ความผันผวนเฉลี่ยรายวันของค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ (USD/THB) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เคลื่อนไหวได้ทั้งทางบวกและลบในกรอบประมาณ 0.5%–0.8% ต่อวัน หากนำไปวิเคราะห์ด้วยแบบจำลองความผันผวน (GARCH model) จะได้ค่าความเสี่ยงสูงสุดที่คาดการณ์ได้ (Value-at-Risk: VaR) ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ราว 0.6–0.7% ต่อวัน ซึ่งเพียงพอที่จะลบกำไรจากทองคำในบางวันได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ในมุมมองการลงทุนระยะยาว ทองคำยังถือเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงที่ช่วยรักษามูลค่าพอร์ตเมื่อตลาดโลกผันผวนหรือเงินเฟ้อสูง ดังนั้น หากถือทองเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนระยะยาว และจัดการความเสี่ยงค่าเงินอย่างเหมาะสมการลงทุนก็ยังคุ้มค่าในเชิงกลยุทธ์

“คำแนะนำสำหรับนักลงทุนทองคำก็คือ ให้ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง เช่น สัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward) การประกันค่าเงิน (Options) ทำหน้าที่เหมือนประกันความเสี่ยง เช่น นักลงทุนทองสามารถทำสัญญา Forward เพื่อล็อกค่าเงินบาท/ดอลลาร์ล่วงหน้า หากเงินบาทแข็งขึ้นจริง กำไรจากสัญญาจะช่วยชดเชยขาดทุนจากทองคำได้บางส่วน” รศ. ดร.วิชัย กล่าว

นอกจากนี้ คือการทยอยลงทุน หรือ DCA เป็นงวด เช่น ทุกเดือนแทนที่จะซื้อครั้งเดียวก้อนใหญ่และควรกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่น เช่น หุ้น หุ้นกู้และพันธบัตร เมื่อสินทรัพย์หนึ่งขาดทุน อาจมีอีกสินทรัพย์ที่ยังสร้างผลตอบแทนได้ รวมไปถึงการตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop loss) การกำหนดว่าถ้าราคาลงถึงระดับใดจะขายออกทันที เช่น ขาดทุนไม่เกิน 5% เพื่อหยุดความเสียหาย เปรียบเสมือนการตั้งรั้วไม่ให้ความเสี่ยงลุกลามจนเกินควบคุม