In News

เปิดแฟ้มข้อเสนอ6+7องค์กรธุรกิจเอกชน ชงรัฐบาลอนุทินเร่งแก้ไขปัญหาใน4เดือน



กรุงเทพฯ-ภายหลังนายกฯอนุทิน เดินสายพบภาคธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะองค์กรธุรกิจหลัก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ก่อนการแถลงนโยบายรัฐบาลเสียงข้างน้อย ช่วงเวลาการบริหารแค่ 4 เดือน หอการค้าไทยได้เสนอ 7 ประเด็นเน้นปัญหาเฉพาะหน้า ขณะที่สภาอุตฯ เสนอ 6 ประเด็นในแนวทางเดียวกันโดยเฉพาะแก้ปัญหาเร่งด่วนใน 4 เดือน

หอการค้าชง7ประเด็นให้“นายกฯอนุทิน”เร่งแก้ไข

ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวภายหลังหารือร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและทีมเศรษฐกิจว่า  ธุรกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ราคาสินค้าเกษตรและการส่งออกที่ปรับตัวลดลง ต้นทุนพลังงานและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ตลอดจนความไม่แน่นอนด้านการเมืองระหว่างประเทศ 

ส่วนดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า ปัจจุบันภาคธุรกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ราคาสินค้าเกษตรและการส่งออกที่ปรับตัวลดลง ต้นทุนพลังงานและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ตลอดจนความไม่แน่นอนด้านการเมืองระหว่างประเทศ หอการค้าไทย จึงได้ระดมข้อคิดเห็นจากเครือข่ายหอการค้าทั่วประเทศ ทั้งหอการค้าจังหวัด สมาคมการค้า หอการค้าต่างประเทศ และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ โดยจัดทำเป็นข้อเสนอ “7 เสาหลักฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย” เพื่อให้รัฐบาลนำไปพิจารณาใช้เป็นมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่

1. Rebuild Confidence Plan เสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศและนักลงทุน ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความปลอดภัย

2.  Liquidity for SMEs & Households เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน ให้ผู้ประกอบการและครัวเรือนเข้าถึงแหล่งทุนได้สะดวก

3.    Ease Cost of Living ลดภาระค่าครองชีพและต้นทุนของประชาชน

4. Seamless Trade ค้าขายคล่อง ส่งเสริมการค้า การลงทุน และโลจิสติกส์ ค้าขายเป็นธรรม  (Fair Trade) สร้างความสามารถแข่งขันให้ SMEs

5.  Safety & Security of Thailand ยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยทั้งอาชญากรรม ยาเสพติด และสังคมออนไลน์

6. Trade War Response เตรียมมาตรการรองรับผลกระทบจากสงครามการค้าโลกและความผันผวนค่าเงิน

7.  Boost Demand & Tourism กระตุ้นกำลังซื้อและส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ

ส.อ.ท.พบนายกฯใหม่ ชง 6 ข้อให้เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวภายหลังการประชุมหารือร่วมกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ถึงแนวทางความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยว่า สิ่งที่เอกชนเรียกร้องเมื่อมี ครม.เรียบร้อยแล้ว คือ ขอให้ทำงานทันที เพราะทุกนาทีมีความหมาย โดยข้อเรียกร้อง 6 ข้อ ประกอบด้วย ดังนี้

1. การเจรจาภาษีทรัมป์ในรายละเอียดเรื่องเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศและภูมิภาค (Reginal Value Content หรือ RVC) ที่ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ ส.อ.ท. และ กกร.ต้องเจรจาว่า สหรัฐจะใช้มาตรฐานใด อุตสาหกรรมใด ทำได้และทำไม่ได้ ในส่วนของรัฐบาลไทยจะมีมาตรการเยียวยาอย่างไร

2. ปัญหาเทรดวอร์ ซึ่งเป็นสงครามการค้าที่เกิดขึ้นต่อเนื่องและส่งผลให้เกิดการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกกระทบต่อ SMEs จาก 22 กลุ่ม เป็น 24 กลุ่ม และหากปี 2568 รัฐยังไม่มีมาตรการที่เหมาะสม เชื่อว่าผลกระทบจะขยายเพิ่มเป็น 30 กลุ่ม 3.การช่วยเหลือ SMEs เพราะเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุด บวกกับหนี้ครัวเรือน การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ยาก จึงขอให้รัฐช่วยแฮร์คัตหนี้ รวมทั้งให้แบงก์เฉพาะกิจขยายวงเงินสินเชื่อให้มากขึ้น

3. การค้าชายแดนไทยกับกัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชน แม้ผู้ประกอบการจะพยายามแก้ปัญหากันเอง แต่ยอมรับว่าต้องแบกภาระต้นทุนที่สูงมาก ซึ่งเอกชนเข้าใจเรื่องความมั่นคง อธิปไตย และยึดหลักการเจรจาให้ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรมีมาตรการเยียวยาให้ผู้ประกอบการเหล่านี้ยังสามารถอยู่ได้ในช่วงที่กำลังเจรจา

4. เมดอินไทยแลนด์ (Made in Thailand หรือ MiT) คือ อีกหนึ่งมาตรการที่ต้องเร่งทำต่อ หากดูจากหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งได้ใช้นโยบายกีดกันทางการค้าด้วยการกำหนดสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ ดังนั้นการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐจะเป็นตัวสำคัญ จากเดิมการจัดซื้อของรัฐจะคัดเลือกที่ราคาถูกที่สุด แต่สินค้าไทยไม่ใช่สินค้าที่ถูกที่สุด จึงทำให้เงินไหลออกต่างประเทศ ซึ่งเงินในส่วนนี้ควรหมุนเวียนในไทย การสร้างแต้มต่อด้วยนโยบายเมดอินไทยแลนด์จึงควรมี และบางประเทศรัฐมีการชดเชยให้ ดังนั้นไทยก็ควรต้องทำ

5. การลดต้นทุนพลังงาน อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท.ไม่เห็นด้วยกับบางแนวทางที่จะให้เอกชนหันไปใช้ก๊าซนำเข้าจากต่างประเทศ แม้จะแก้ปัญหาค่าไฟได้ แค่ลดได้แค่ 2-3% ในขณะที่ต้นทุนเพิ่มถึง 58% เป็นการได้ไม่คุ้มเสีย ในขณะที่ไทยเองก็จะอ่อนแอลง แข่งขันไม่ได้เลย

6. ค่าเงินบาท ซึ่งขณะนี้ไทยกำลังอ่อนแอลง ผลพวงมาจากค่าเงินที่ผันผวนมาก โดยอ่อนค่าลงแรง หรือแข็งค่าแบบกะทันหัน ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเงินบาทไทยแข็งค่าถึง 8% รองจากไต้หวัน แม้ว่าไทยจะได้ภาษีทรัมป์ที่ 19% แต่หากรวมการส่งออกบวกค่าเงินแล้ว จะกลายเป็น 27% ในขณะที่เวียดนามโดนภาษีทรัมป์ 20% แต่ค่าเงินด่องลงไปถึง 3% จะกลายเป็น 17%

นั่นแสดงว่าขีดความสามารถของไทยกับเรื่องต้นทุนการส่งออกที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศ 60% กำลังฉุดรายได้และเศรษฐกิจไทยอย่างมาก และคาดว่าไตรมาสสุดท้าย หากการท่องเที่ยวไทยพลาดเป้า 32 ล้านคน ยิ่งตอกย้ำเศรษฐกิจมากขึ้น

“อยากเห็นค่าเงินบาทที่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ เป็นอัตราที่สมดุลระหว่างการส่งออกและนำเข้า เพราะมันต้องดูบริบทให้เหมาะสม โดยเฉพาะบาทอ่อนเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว สำหรับวันนี้ นายกฯรับปากว่าจะทำงานกับเอกชนให้เร็วและมากที่สุด เขารู้ว่าอุตสาหกรรมเป็นส่วนสำคัญของ GDP และรัฐบาลชุดนี้ทำงานเชิงรุก คุณสมบัติเป็นทั้งนักธุรกิจและนักการเมือง ทำให้มีแนวคิดตรงกันและมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เชื่อว่า 4 เดือนนี้ต้องดีขึ้น แต่จะดีมากไหมอยู่ที่ว่าทำเรื่องไหนสำเร็จก่อน”