In News

สศช.รายงานปี2568คนจนเพิ่มขึ้น3.43% 'แม่ฮ่องสอน'หนักสุด/กรุงเทพฯเจริญเดี่ยว



กรุงเทพฯ-เผยรายการสศช.สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยในปี 2567 พบจำนวนคนจนเพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หรือ 4.89% ของประชากรทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่อยู่ที่ 3.41% โดยแบ่งเป็นรายจังหวัด แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส อุบลราชธานี สระแก้ว พัทลุง ศรีสะเกษ เชียงราย ตาก ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ยังคงพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก ความเจริญยังคงกระจุกตัวในกรุงเทพฯ และภาคกลาง โดยกรุงเทพฯ มีแรงงานกว่า 25% อยู่ในภาคบริการสมัยใหม่

เมื่อเร็วๆนี้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เปิดเผยรายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยในปี 2567 โดยข้อมูลล่าสุดในสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำปี 2567 โดยพบจำนวนคนจนเพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หรือ 4.89% ของประชากรทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่อยู่ที่ 3.41% โดยในปีนี้ได้ปรับเส้นความยากจนปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน จากเดิม 3,043 บาทต่อคนต่อเดือน

สำหรับข้อมูลสัดส่วนคนจนจำแนกรายจังหวัด สศช.ได้เปิดเผยข้อมูลในรายงานว่า  จังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดเป็น 10 อันดับแรก ได้แก่

แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส อุบลราชธานี สระแก้ว พัทลุง ศรีสะเกษ เชียงราย ตาก

โดยมีข้อมูลจังหวัดที่มีสัดส่วนความยากจนสูงสุด 10 อันดับ เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ แม่ฮ่องสอน  25.69% ยะลา 25.41% ปัตตานี 25.39% นราธิวาส  21.07% อุบลราชธานี  20.34% สระแก้ว 16.00% พัทลุง  15.74% ศรีสะเกษ 14.08% เชียงราย  13.69% ตาก  13.37%

ทั้งนี้จากข้อมูลของสศช.ระบุว่า จ.แม่ฮ่องสอนและจ.ปัตตานีอยู่ใน 5 อันดันดับแรก ของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดต่อเนื่องกันอย่างน้อย 15 ปี สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความยากจนเรื้อรังใน จังหวัดดังกล่าว

นอกจากนี้ หากพิจารณาจาก 10 จังหวัดแรกที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดในปี 2567 จะพบว่า 5 ใน 10 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตาก มักติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของจังหวัดที่มี สัดส่วนคนจนสูงสุดในปีอื่น ๆ ด้วย กล่าวคือ มีแนวโน้มเผชิญกับปัญหาความยากจนเรื้อรัง

ทั้งนี้หากพิจารณาเรื่องความยากจนจำแนกเป็นภูมิภาคของไทย พบว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความแตกต่างเชิงโครงสร้าง ระหว่างภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ ความไม่สมดุลนี้สะท้อนชัดทั้งในมิติเศรษฐกิจและมิติสังคม และได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของปัญหาความเหลือมล้ำที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและการเติบโตของประเทศในระยะยาว

ความเหลื่อมล้ำในเชิงเศรษฐกิจ ความเจริญยังคงกระจุกตัวในกรุงเทพฯ และภาคกลาง โดยกรุงเทพฯ มีแรงงานกว่า 25% อยู่ในภาคบริการสมัยใหม่ ครอบคลุมสาขาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี การเงิน การแพทย์ และการสื่อสาร ขณะที่ภาคกลางยังคงเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมหลักของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทำให้ทั้งสองพื้นที่ดึงดูดเงินลงทุนและแรงงานจำนวนมาก สร้างความได้เปรียบเหนือภูมิภาคอื่น

ในทางตรงกันข้าม ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ยังคงพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยเฉพาะภาคอีสานที่มีแรงงานในภาคเกษตรมากกว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานทั้งภูมิภาค ทำให้ครัวเรือนมีความเปราะบางและเสี่ยงต่อความยากจนสูง โดยเฉพาะเมื่อเผชิญปัจจัยภายนอก เช่น ภัยธรรมชาติหรือความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร ซึ่งกระทบต่อรายได้และความมั่นคงของครัวเรือน รวมถึงส่งผลต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมแปรรูปและบริการที่เกี่ยวข้อง

ด้านสังคม พบว่า ภาคเหนือมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงสุดที่ 31.9% ตามด้วยภาคอีสานที่ 28.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศที่ 24.97% ซึ่งอาจกลายเป็นความท้าทายด้านกำลังแรงงานและเพิ่มภาระการดูแลผู้สูงอายุในอนาคต

ในขณะที่กรุงเทพฯ มีประชากรวัยแรงงานมากที่สุด สะท้อนบทบาทในการดึงดูดแรงงานจากต่างภูมิภาค ส่วนภาคใต้และอีสานมีสัดส่วนประชากรวัยเด็กสูงที่สุดของประเทศ แสดงถึงศักยภาพด้านทุนมนุษย์ หากได้รับการลงทุนด้านการศึกษาและพัฒนาทักษะอย่างเหมาะสม ก็จะเป็นกำลังแรงงานคุณภาพในอนาคต